ความเกียจคร้าน
นัมจูน คิม เขียน / จุงซิก คิม แปล
176 หน้า / 140 บาท
สารบัญ
บทที่ 1 เรื่องเล่าที่หัวเราะแล้วทำหน้าสลด
บทที่ 2 วันที่ขโมยขึ้นบ้าน
บทที่ 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราชสำนัก
บทที่ 4 คนที่ตกงานเพราะคำเพียงคำเดียว
บทที่ 5 เส้นทางที่เชื่อมต่อกับรั้วหนาม
บทที่ 6 พระเจ้าข้า ขอโทษที่หลับสนิทเกินไป
บทที่ 7 การนอนหลับที่เพลิดเพลิน, การนอนหลับใหลไร้สาระ
บทที่ 8 ความเกียจคร้านไม่ชอบความร้อนรน
บทที่ 9 เมื่อความเบื่อหน่ายของจิตวิญญาณและความเกียจคร้านของเนื้อหนังมาพบกัน
บทที่ 10 คำอธิษฐานให้ร้องไห้
บทที่ 11 ภาพฝังใจ
มากที่สุดในโลกนี้ คือคุณย่าซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ข้าพเจ้าได้จากคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งทำธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด มาเรียนหนังสือที่กรุงโซลตั้งแต่ชั้นประถม ต่อมาก็แยกจากพวกท่านมาแต่งงาน ข้าพเจ้าจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับคุณย่ามาตลอด เรื่องที่คุณย่ามักว่ากล่าวข้าพเจ้ามากที่สุด คือเรื่องความขี้เกียจของข้าพเจ้าเอง ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าตื่นสายหรืออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร คุณย่าจะคอยตักเตือนเสมอว่า “ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าขี้เกียจแบบนี้ โตขึ้นจะทำอะไรกิน....”
ข้าพเจ้ามาตระหนักแก่ใจเกี่ยวกับเรื่องของความเกียจคร้าน เมื่อข้าพเจ้าได้รู้จักพระเยซูผู้ทรง สภาพเป็นมนุษย์ และมีความปรารถนาจะถวายพระเกียรติเพื่อพระสิริของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า แม้เราได้รับความรอดโดยความเชื่ออันเนื่องมาจากความรักอันวิเศษสุดของพระเจ้า แต่ช่างตื้นเขินมากจริงๆ ถ้าจะบอกว่าชีวิตของข้าพเจ้าในโลกนี้จำกัด และถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความปรารถนาดั่งไฟลุกโชนที่อยากดำเนินชีวิตเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ามากเพียงใด แต่ถ้าไม่มีเวลาให้ ก็ไม่สามารถบรรลุความปรารถนานั้นได้ ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่า ความเกียจคร้านไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์เหลาะแหละ แต่ยังมีปัจจัยที่เป็นจริงอีกข้อหนึ่งคือ ความรักตัวเองแบบผิดๆ ซึ่งฝังรากลึก เป็นความเสื่อมทรามของจิตใจ ด้วยเหตุนี้ สำหรับข้าพเจ้า การปล้ำสู้เพื่อชำระตนให้บริสุทธิ์นั้น จึงต้องทำไปพร้อมๆ กับการปล้ำสู้กับปัจจัยพื้นฐานสองข้อนี้เสมอ
หลังจากได้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างลึกซึ้ง และได้รับประสบการณ์การฟื้นฟูเป็นการส่วนตัว ข้าพเจ้าจึงรังเกียจความเกียจคร้านที่มีอยู่ในตัวของข้าพเจ้ามากขึ้น และได้ปล้ำสู้กับมัน โดย คิดเสมอว่ามันยังอยู่ในตัวข้าพเจ้า แต่อยู่ในอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดิมแล้ว และในขณะที่รู้สึกเกลียดชังความเกียจคร้านเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะดำเนินชีวิตโดยการทำอย่างเต็มกำลัง ทุกๆ วัน เหมือนกับว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของวันเวลานั้น กระนั้นก็ดี จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงมองเห็นความเกียจคร้านหลงเหลืออยู่ในตัวเอง เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงยังไม่พอใจตัวเองนัก และคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงทรงรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการปล้ำสู้อย่างเข้มข้น หรือรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ต้องขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดถึงชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ก็จะได้รับการเสริมและฟื้นฟูกำลังขึ้นมาได้เอง ชีวิตของพระเยซูที่ทรงดำเนินด้วยการทุ่มเทพระองค์ตลอดชีวิต ไม่มีหยุดพัก เป็นชีวิตที่ห่างไกลจากความเกียจคร้าน ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้า ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตแห่งน้ำ ทั้งหยาดเหงื่อ หยดน้ำตา และพระโลหิตที่หลั่งไหลออกมา... ดังนั้น เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตเหมือนอย่างคำพรรณาของจอร์จ วิตฟีลด์ที่ว่า “ปรารถนาที่จะปฏิเสธความต้องการของตัวเอง และแบกกางเขนของตนไปจนกว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรง มากกว่าที่จะปล่อยให้ชีวิตเหี่ยวเฉาตายไปตามธรรมชาติ”
หนังสือเล่มนี้มาจากความเข้าใจส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าเมื่อได้ตระหนักว่า ความเกียจคร้านเป็น ศัตรูที่ซ้อนเร้นอยู่ในที่ลี้ลับ และมีพิษสงมากเพียงไรต่อการชำระตนให้บริสุทธิ์ของคริสเตียน ยังมีคริสเตียนอีกไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า ความเกียจคร้านเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากแค่ไหนต่อการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา ความอัดอั้นตันใจเมื่อได้เห็นหลายคนต้องล้มเหลว เพราะความไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น คาดว่าหนังสือเล่มนี้อาจมีรสชาติเหมือนยาขมโบราณชามใหญ่ ไม่หวานหอม เหมือนกับช่วงหนึ่งในอดีตที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกปวดใจทุกครั้งเมื่อ ต้องเขียนเรื่องราวแห่งความจริงเช่นนี้.....หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อทุกท่านได้อ่านเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้แล้ว จะเปลี่ยนไปเป็นผู้แสวงหาความจริงอย่างขยันขันแข็ง มุ่งมั่นติดตามพระเยซูผู้ทรงเป็นทางนั้นไป จนกว่าจะได้ชื่อว่า เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง....