สดุดี 90.9-10
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการนมัสการ ผู้นั้นก็จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตด้วย องค์ประกอบของความสำเร็จในการนมัสการคงมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือเวลา ไม่ว่าจะเป็นการนมัสการส่วนตัว หรือการนมัสการในครอบครัว หรือการนมัสการส่วนรวมในคริสตจักรก็ตาม เพราะเรานมัสการพระเจ้าในกาลเวลาช่วงใดช่วงหนึ่ง
เมื่อเราพูดถึงเวลาสำหรับชีวิตของเรา มีสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ ก็คือ เรามีเวลาจำกัด เรามี 24 ชั่วโมงต่อวัน 30(31)วันต่อเดือน และ12 เดือนต่อปี ไม่ว่าเราเป็นใคร เด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง คนรวยหรือคนยากจน นักธุระกิจระดับโลก หรือพ่อค่าแม่ค่าท้องตลาด คนมีอำนาจสูงหรือคนธรรมดา เราก็มีเวลาเท่ากัน เพราะพระเจ้าทรงกำหนดวันเดือนปี และประทานเวลาให้แก่เราแต่ละคนเท่ากันหมด
สดุดี บทที่ 90 นั้น เป็นคำอธิษฐานของโมเสส คนของพระเจ้า โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ ข้ามทะเลแดง และเดินแตรในถิ่นทุรกันดาร ประมาณ 40ปีมาแล้ว คนที่ออกมาจากประเทศอียิปต์นั้น ส่วนใหญ่ตายแล้ว คนรุ่นใหม่กำลังเดินทางไปสู่แผ่นดินคานาอัน โมเสสได้อธิษฐานเผื่อคนอิสราเอลคนรุ่นใหม่นี้ ในคำอธิษฐานของโมเสส โมเสสได้สรรเสริญเรื่องสภาวนิรันดร์ของพระเจ้า ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล แล้วโมเสสได้เปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์ที่อนิจจัง
ชีวิตของมนุษย์ไม่ค่อยยาวนานเท่าไรนะ โมเสสได้บอกในข้อ 10 ว่า กำหนดปีของข้าพระองค์ คือเจ็ดสิบ หรือสุดแต่เรื่องกำลัง ก็ถึงแปดสิบ ชีวิตของเราในโลกนี้ ไม่ใช่ยาวไปถึงพันๆปี เหมือนนิทานไทย ในสมัยโมเสสเจ็ดสิบ หรือ แปดสิบ ถึงอย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์บอกว่า มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่า จะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษา (ฮีบรู 9.27) เราควรบริหารเวลาของเราอย่างมีปัญญา เพราะอีกไม่นานเราทุกคนต้องตายแน่นอน นี่เป็นข้อกำหนดสำหรับเรา
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่เราควรบริหารเวลาอย่างมีปัญญา ก็คือ เวลาที่เรามีอยู่นั้นผ่านไปเรื่อยๆ ไม่หยุด และผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก รู้สึกเราได้ต้อนรับปีใหม่ไม่กี่วัน แต่เดือนหนึ่งผ่านไปแล้ว มันไวมากจนจับไม่ทัน โดย เฉพาะยุคนี้ ที่เรียกกันว่า เป็นยุคข้อมูล หรือยุคอินเตอร์เน็ต วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วว่องไวจนเหลือเชื่อ ในสดุดี 90.4 บอกว่า เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน ข้อ 10 ตอนท้ายบอกว่า ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป ข้อนี้น่าจะแปลได้อีกว่า เพราะกำหนดปีของข้าพระ องค์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและข้าพระองค์ทั้งหลายก็บินไป เพราะเหตุนี้ เราควรบริหารเวลาที่เรามีอยู่อย่างมีปัญญา
ถ้าเราจะบริหารเวลาอย่างมีปัญญา เราควรรู้องค์ประกอบของเวลา เวลาประกอบด้วยสามอย่าง อาทิ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แล้ว เราควรมีทัศนคติที่เหมาะสมกับองค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้
1. ทัศนคติต่ออดีตนั้น อย่าติด อย่าลื่ม แต่จงขอบพระคุณ
ไม่ควรติดกับอดีต โรคร้ายชนิดหนึ่งที่มนุษย์เราติดง่ายๆ ก็คือโรคอดีต คนเหล่านั้นมักจะอวดอดีต และคิดว่าอดีตดีกว่า เหมือนชนชาติอิสราเอลที่บอกว่า เมื่ออยู่ในอียิปต์ยังดีกว่า ถึงแม้ไม่มีอิสระและต้องทำงานหนักก็ตาม ยังดื่มน้ำและกินเนื้อได้ คนเหล่านั้นไม่ได้มุ่งไปสู่ข้างหน้า แต่หาโอกาสที่จะหันกลับไปสู่อดีต พระคัมภีร์บอกว่า อย่าว่า อะไรหนอเป็นเหตุให้กาลก่อนดีกว่ากาลบัดนี้ เพราะที่เจ้าไต่ถามนั้นไม่ได้ถามด้วยสติปัญญา (ปัญญาจารย์ 7.10)
คริสเตียนบางคนมักจะอวดอดีต บอกว่า ในช่วงนี้ ยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาที่จะอ่านพระคัมภีร์ แต่เมื่อก่อนนั้น ฉันได้อ่านพระคัมภีรทุกวัน ๆละ 10บท เคยทำอย่างนั้น อย่างโน้น แล้วมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้ทำในเวลานี้ อดีตเป็นเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้ว
ไม่ควรลื่มด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับชีวิตของเราในปัจจุบัน โมเสสได้เตือนและหนุนใจคนรุ่นใหม่ว่า จงระลึกถึงโบราณกาล จงตรองถึงจำนวนปีที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้วนั้น จงถามบิดาของท่านแล้วเขาจะสำแดงให้ท่านทราบ จงถามพวกผู้ใหญ่ของท่านแล้วเขาจะบอกท่าน...(ฉธบ. 32.7)
อจ.เปาโลได้ทบทวนประวัติของคนอิสราเอลแล้ว บอกว่า เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย อดีตเป็นเครื่องเตือนใจของเรา ไม่ให้เราทำผิดเหมือนบางคนที่ทำผิดแล้วถูกลงโทษถึงตาย
จงขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อคิดถึงอดีต บางคนอาจจะมีบาดแผล บางคนอาจชื่นใจ ถึงแม้ว่า อดีตของเราเป็นอย่างไรก็ตาม เราเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงประทานแก่เรา เราจึงควรขอบพระคุณพระเจ้า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งว่า ถ้าเราไม่รู้จักพระเยซูแล้ว เราคงเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีความหวังและไม่มีวิสัยทัศน์ ขอบพระคุณพระเจ้า โดยพระคุณพระเจ้า เรามารู้ จักพระเยซูคริสต์ และมีวิสัยทัศน์ มีความหวัง มีความฝันในพระองค์
2. ทัศนคติต่ออนาคต คือ อย่ากระวนกระวาย จงมอบงานทุกอย่าง จงมีนิมิต
ไม่ควรกระวนกระวาย
เวลาพรุ่งนี้นั้นเป็นเวลาที่ยังไม่มา ยังไม่ได้เป็นเวลาของเรา คนส่วนใหญ่ได้กระวนกระวายในสิ่งต่างๆ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น เขาเองยังไม่แน่ใจว่า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งที่คนกำลังกระวนกระวายส่วนใหญ่นั้น จริงๆแล้ว ไม่ต้องกระวนกระวายก็ได้ เพราะอาจไม่เกิดขึ้นตามที่เขาคิด
พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่อแล้ว (มัทธิว 6.34)
จงมอบงานทุกอย่าง
เรามักจะวางแผนงานในอนาคต ในพระธรรมยากอบ มีพ่อค่าคนหนึ่งคิดในใจว่า พรุ่งนี้จะไปเมืองนั้น และอยู่ที่นั้นสักหนึ่งปี ค้าขายได้กำไร แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อค่าคนนี้มองข้ามไป ก็คือ เขาเองไม่รู้เรื่องพรุ่งนี้
ชีวิตของเราในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราก็ไม่ทราบ บางครั้งไม่ยอมรับด้วย ถึงแม้ว่า เราวางแผน แต่ผู้ที่ทำให้เป็นไปตามนั้น คือพระเจ้านั่นเอง ไม่ใช่เราเอง เราควรยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเรา แล้วพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเราราบรื่น (สภษ. 3.6) พระคัมภีร์บอกว่า จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้(สุภาษิต 16.3)
จงมีนิมิต
ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข (สุภาษิต 29.18) คำว่า การเผยธรรม หมายถึงนิมิต นิมิตเป็นความหวัง ความฝันในอนาคต ฉะนั้น ชนชาติที่ไม่มีนิมิตที่มาจากพระเจ้า ก็จะพินาศไป เราควรดำเนินชีวิตที่มีนิมิต ยิ่งกว่านั้น เราควรทำให้คนอื่นมีนิมิตด้วย
เมื่อประเทศเยอรมันปกครองประเทศโปแลนด์ คนชราคนหนึ่งได้จัดโต๊ะขายของที่ตลาดคนยิว แล้วร้องตะโกนด้วยเสียงดังว่า เชิญมาดู กำลังขายของที่มีค่าสูง สุดในโลก แล้วมีคนมากมายที่กำลังผ่านตรงนั้นมองดู แต่ไม่มีอะไรบนโต๊ะนั้นเลย มีคนหนึ่งในคนเหล่านั้นถามว่า คุณลุงครับ คุณลุงบอกว่า ขายของที่มีค่าสูงสุด จะขายอะไรครับ คนชราได้บอกที่หูของคนนั้นว่า น้องเอ๋ย ขายความหวัง ถ้าชนชาติของเราสูญเสียความหวังนี้แล้ว อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ให้มายึดมั่นในพระเจ้าแห่งความหวัง พระเจ้าแห่งความฝัน ถึงแม้ว่าชนชาติอิสราเอลตกอยู่ในความลำบากมากนัก แต่ยึดมั่นในนิมิตที่พระเจ้าทรงประทานให้ ไม่พินาศ แต่ลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้
3. ทัศนคติต่อปัจจุบัน คือ จงฉวยโอกาส
จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้ เป็นกาลที่ชั่ว (เอเฟซัส 5.16) คำว่า ฉวยโอกาส หมายถึง ซื้อโอกาสโดยจ่ายเงิน อจ.เปาโลหนุนใจให้เราซื้อเวลา พูดอีกนัยหนึ่งว่า ใช้ทุกเวลาของเราให้ถูกต้อง
ฉวยโอกาสเพื่อจะทำอะไร
1) นมัสการพระเจ้า เพราะเราอยู่เพื่อจะนมัสการพระเจ้า
2) รักซึ่งกันและกัน เพราะความรักนั้นใหญ่ที่สุด รักพระเจ้าและรักเพื่อมนุษย์
3) ช่วยให้คนอื่นรอด เพราะไม่มีสิ่งใดที่สำคัญกว่าชีวิต
ฉวยโอกาสอย่างไร
1) ลำดับก่อนหลัง ควรทำสิ่งสำคัญก่อนทำสิ่งเร่งด่วน
2) ตัดสินใจและลงมือทำ ตัดสินใจแล้ว น่าจะลงมือทำทันที เมื่อมีเวลาว่าง เมื่อเตรียมพร้อม สักวันหนึ่งจะทำ แล้วเลื่อนไป คงไม่มีโอกาสที่จะทำได้เลย เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ความตั้งใจ ความตัดสินใจก็เปลี่ยนตามด้วย
3) ใช้เศษเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีปัญญา
4) อย่าขี้เกียจแต่จงขยัน ความเกียจคล้านเป็นศัตรูตัวใหญ่สำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน
เราทุกคนมีเวลาเท่ากัน 1วินาทีไม่ใช่เป็น 1 วินาทีแก่ทุกคนเหมือนกัน คิดอย่างไร ถ้าเราสังเกตดู เสือกับกระต่ายกินข้าว ท่าทีของทั้งสองเหมือนกันมั้ย 1วินาทีสำหรับเสือและสำหรับกระต่ายนั้น ระยะเวลาเดียวกัน แต่คุณภาพไม่เหมือนกัน พระเจ้าทรงประทานเวลาเท่ากันแก่เราทุกเป็นของขวัญ คนที่บริหารเวลาอย่างมีปัญญาดีเท่านั้นจะประสบความสำเร็จได้
เราไม่ใช่เป็นเจ้าของเวลา แต่เป็นผู้รับมอบฉันทะภาระ เจ้าของเวลา คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และค่อๆไปเป็นนิจกาล (ฮีบรู 13.8) ให้เราบริหารเวลาตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของกาลเวลา แล้วเราจะประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า