เนหะมีย์ 8.5-6
เราทุกคนปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตคริสเตียนและในการทำมาหากินด้วย ทำอย่างไร เราจึงประสบความสำเร็จได้ พ่อค้าสองคนใส่สินค้าเต็มในรถม้าและเดินทางไปไกล เมื่อถึงวันอาทิตย์ พ่อค้าคนหนึ่งได้หยุดเดินทางและนมัสการพระเจ้า และให้ม้าพักผ่อนด้วย แต่พ่อค้าอีกคนหนึ่งคิดในใจว่า ถ้าหยุดพักวันหนึ่ง คงเสียหายเยอะมิใช่หรือ และเดินทางไปสู่จุดปลายทางอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างไรก็ตาม พ่อค้าที่มีความเชื่อก็หยุดพัก และนมัสการพระเจ้าทุกครั้งเมื่อถึงวันอาทิตย์จนกว่าไปถึงจุดปลายทาง ปรากฎว่าพ่อค้าที่มีความเชื่อได้ไปถึงจุดปลายทางก่อน ภายหลังหลายวัน พ่อค้าอีกคนหนึ่งก็มาถึงจุดปลายทาง แต่มาด้วยตัวเปล่า ไม่มีม้า ไม่มีรถม้า และตัวเขาเองก็อ่อนเพลีย เพราะว่า เขาไม่ได้พักผ่อนแม้แต่วันเดียว เขาขี่ม้าทุกวันๆ จนม้าก็เจ็บป่วยและรถม้าก็เสีย เขาจึงได้มาถึงจุดปลายทางด้วยตัวเปล่า
เมื่อเราประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราก็ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้ เพราะการนมัสการพระเจ้า คือการกลับไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งชีวิตเรา พระเจ้าทรงเป็นแหล่งชีวิต แหล่งพระพร แหล่งความรู้และสติปัญญา แหล่งฤทธิ์อำนาจ แหล่งความรัก แหล่งทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเรา การกลับไปหาแหล่งชีวิตของเรา นั่นคือการนมัสการพระเจ้า
ความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้านั้นหมายถึงนมัสการพระเจ้าที่พระองค์ทรงพอพระทัย การนมัสการแท้ คือการนมัสการที่ถวายเพื่อพระเจ้า นั่นคือการนมัสการที่ยกย่องพระนามของพระองค์ และเป็นการนมัสการที่สรรเสริญพระเจ้าด้วยการรักพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของเรา ถึงแม้ว่า เรามานมัสการพระเจ้าทุกๆวันอาทิตย์ก็จริง แต่บ่อยครั้งการนมัสการของเรานั้นไม่ค่อยสดชื่นมากเท่าไรนะ ถึงเวลาแล้วที่ควรทบทวนการนมัสการของเรา เมื่อเราสังเกตดูท่าทีของคริสเตียนที่มานมัสการพระเจ้านั้นก็มีหลายรูปแบบ มีคนหนึ่งได้สรุปดั่งต่อไปนี้ 1) คณะมองธรรมาสน์อย่างเฉยๆในการเทศนา (ตาอยู่ที่นักเทศน์ แต่ใจกำลังลอยไปเที่ยว) 2) คณะผู้ตรวจโดยการขีดเส้นใต้ในสุจิบัตร 3) คณะอาเมนโดยการหลับครึ่งตื่นครึ่ง 4) คณะผู้วุ่นวายที่มองดูนาฬีกาบ่อยๆ 5) คณะหูหนวกที่ได้สนทนากับคนที่นั่งข้างๆ ด้วยการเขียน 6) คณะผู้กังวลการประชุม ซึ่งจะมีหลังนมัสการ 7) คณะผู้โดดเดี่ยวที่ได้อ่านพระคัมภีร์ในเวลาที่เทศนาเท่านั้น 8) คณะปลาคาร์พที่เปิดปากโดยไม่ออกเสียงในเวลาร้องเพลงสรรเสริญ 9) คณะผู้ที่ฉวยโอกาสที่จะหลับตาในช่วงอธิษฐาน 10) คณะยามที่เช็คดูว่าใครมาใครไม่มา (อาการที่เกิดขึ้นจากประธานคณะต่างๆ หรือหัวหน้ากลุ่ม) พี่น้องอยู่คณะไหน ถึงเวลาที่เราควรจะฟื้นฟูการนมัสการของเรา
เมื่อเอสราเปิดหนังสือธรรมบัญญัติ ประชาชนก็ยืนขึ้น เอสราประทับใจมากเมื่อเห็นประชาชนที่ให้เกียรติแก่พระวจนะของพระเจ้า จึงสรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชาชนก็ตอบว่า อาเมน อาเมน แล้วนมัสการพระเจ้า เขาทั้งหลายนมัสการพระเจ้าด้วยท่าทีอะไร ยกมือขึ้นและโน้มตัวลง ซบหน้าลงถึงดิน แสดงให้เห็นว่า พวกอิสราเอลได้รับการฟื้นฟูการนมัสการของเขา ถ้าเราจะได้รับการฟื้นฟูการนมัสการของเรา หรือ ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราควรเข้าใจหลักสำคัญบางประการของการนมัสการพระเจ้า
1. เรามีชีวิตอยู่ เพื่อนมัสการพระเจ้า
พระเจ้าได้ทรงสร้างเรา เพื่อให้เรานมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงเลือกเราก่อนเริ่มสร้างโลก เพื่อจะให้เรานมัสการพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทรงไถ่บาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อจะให้เรานมัสการพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงผนึกตราไว้ เพื่อจะให้เรานมัสการพระเจ้า คริสตจักรของเราตั้งอยู่ที่นี่ เพื่อจะให้เรามานมัสการพระเจ้าร่วมกัน เราอยู่เพื่อนมัสการพระเจ้า
เมื่อคนอิสราเอลถูกกวาดไปเป็นเฉลยที่บาบิโลน ช่วงแรก พวกเขายังมีความปรารถนาที่จะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แต่ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นไปยังพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เป็นเวลานาน เขาก็ลื่มที่จะนมัสการพระเจ้า เมื่อเขากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว แต่พวกเขายังไม่ค่อยเอาจริงเอาจังที่จะนมัสการพระเจ้า ลื่มจุดประสงค์อันแท้จริงของเขา คือนมัสการพระเจ้า ทำให้ชีวิตของเขาแห้งแล้ง ไม่สดชื่น และขาดความสุขแท้ เช่นเดียวกัน เรื่องของคนอิสราเอลเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเราในวันนี้ พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นตัวอย่างแก่เรา ชีวิตเราจะมีความหมายและคุณค่า ก็ต่อ เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เพราะการนมัสการพระเจ้าเป็นจุดประสงค์อันดับแรกของเราทุกคน เราจึงมาร่วมชุมนุมกันในวันนี้ และทุกๆวันอาทิตย์ เพื่อจะนมัสการพระเจ้า บางคนไม่ได้มานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงกลายเป็นนิสัยที่ขากการนมัสการบ่อยๆ บางคนมาโบสถ์เพื่อจะพบเพื่อน บางคนมาโบสถ์เพื่อจะทำธุรกิจ คนเหล่านั้นไม่สนใจการนมัสการ แต่รอเวลาที่จะจบการนมัสการ เพื่อจะพบเพื่อน หรือเพื่อจะทำธุรกิจ ซึ่งผิดจุดประสงค์ของมนุษย์เรา ขอให้เรามาร่วมชุมนุมกันนมัสการพระเจ้า 2. การนัมสการพระเจ้า คือการตอบสนองของเราต่อพระวจนะของพระเจ้า
เมื่อเอสราได้เปิดหนังสือธรรมบัญญัติและอ่านให้พวกอิสราเอลฟัง พวกเขาก็ตอบสนองต่อพระวจนะที่เขาได้ยิน ตอบว่า อาเมน อาเมน ใช่แล้ว เป็นความจริง จะให้เป็นไปอย่างนั้น นี่คือการนมัสการแท้ พวกอิสราเอลจึงเกิดความชื่นชมยินดี ได้ฉลองกันด้วยความปีติยินดี ทุกวันนี้ พระเจ้าตรัสกับเราบางสิ่งบางอย่าง เราก็ควรตอบสนองต่อสิ่งที่พระเจ้าตรัส พระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งบางอย่าง เราก็ควรตอบสนองต่อสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ นี่คือการนมัสการแท้ จึงบอกได้ว่า การนมัสการพระเจ้านั้นประกอบด้วยสองสิ่ง คือการทรงเปิดเผยของพระเจ้า และการตอบสนองของเรา การทรงเปิดเผยของพระเจ้านั้น คือการเทศนา และการตอบสนองของเรา ก็คือ การถวายแด่พระเจ้า เช่น สรรเสริญ อธิษฐาน และถวายทรัพย์
เพราะเหตุนี้ การเทศนาเป็นองค์ประกอบอันสำคัญมากของการนมัสการพระเจ้า การเทศนา คือ การประกาศพระวจนะของพระเจ้าตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยพระองค์ ไม่มีใครรู้จักพระเจ้าได้ และไม่มีใครไปหาพระองค์ได้ แล้วคงไม่มีใครนมัสการพระองค์ได้ด้วย
การถวายแด่พระเจ้านั้น ควรปฎิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามใจชอบของตน แท้จริง การนมัสการ คือการถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่เป็นการรับ ถ้าใครร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า น่าจะร้องด้วยใจจริง ไม่ใช่ด้วยปากเท่านั้น ร้องให้พระเจ้าฟัง ไม่ใช่ร้องให้มนุษย์ฟัง แล้วพระเจ้าทรงพอพระทัย ใครจะร้องสรรเสริญพระเจ้าเช่น นี้ได้ ก็คือคนที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ...จงประกอบด้วยพระวิญญาณ จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรร เสริญ และสดุดีจากใจของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ.5.18-19)
เมื่อเราอธิษฐาน น่าจะอธิษฐานขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นไปตามความปรารถนาของเรา พระเยซูได้ทรงสั่งสอนคำอธิษฐาน ซึ่งเราได้อธิษฐานกันอยู่ทุกอาทิตย์ และพระเยซูได้ทรงวางแบบอย่างแก่เราที่สวนเกทเสมานีว่า อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ (มธ. 26.39)
การถวายทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์บอกอย่างไร เราก็ควรทำตาม ไม่ใช่ถวายทรัพย์ตามใจชอบ หรือตามอารมณ์ความรู้สึกของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องตั้งใจฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วปฎิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จะทรงพอพระทัยการนมัสการของเรา
3. การนมัสการพระเจ้า คือ ยกพระเจ้าของเราให้ใหญ่ยิ่งขึ้น
เอสราได้สรรเสริญพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้เขียนสดุดีได้เชิญชวนเราทุกคนที่เชื่อให้เข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยความชื่นบาน เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่งและทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย (สดุดี 95.3) พระเจ้าเท่านั้นที่สม ควรที่จะรับการนมัสการของเรา เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่
ทำอย่างไร เราจึงยกพระเจ้าของเราให้ใหญ่ยิ่งขึ้นได้ เอสราสรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่ฉันใด เราก็น่าจะสรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ฉันนั้น พี่น้องคริสเตียนคนไทยชอบที่จะร้องเพลงบทที่ 13 พระเจ้ายิ่งใหญ่ ในร้องรับบอกว่า จิตข้าสรรเสริญพระเจ้าองค์พระผู้ช่วย พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ายิ่งใหญ่ ให้เรายกพระเจ้าของเราให้ใหญ่ยิ่งขึ้นในทุกที่ที่เราอยู่ ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในครอบ ครัว ในที่ทำงาน ในโรงเรียน ใช่แล้ว คือพระเจ้าของเรา ยิ่งกว่านั้น ในคริสตจักรแน่นอน คือพระเจ้าของเรา พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่จริงๆ
ถ้าเราจะนมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือพระทั้งหลาย เราควรคิดหลายสิ่งเมื่อเราเข้าเฝ้านมัสการพระองค์ เราควรนมัสการพระเจ้าให้สมกับความเป็นพระเจ้าของพระ องค์ ข้าพเจ้าอยากจะยกบางประเด็นให้พี่น้องคิดดู อันแรก การแต่งตัวของเรา การแต่งตัวภายนอกนั้นไม่ค่อยสำคัญมากนัก แต่ภายนอกเป็นการสำแดงออกของภายใน ไม่จำเป็นสวมชุดที่แพง แต่เราควรสวมเสื้อชุดที่ไม่น่ารังเกียจ หรือไม่รบกวนคนอื่นในการนมัสการ ประเด็นที่สอง คือการรักษาเวลา เราควรจะมาก่อนเวลานมัสการด้วยการรอคอยพระเจ้าดี หรือเรามาสายให้พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งรอคอยเราอยู่ดี ประเด็นที่สาม คือท่าทีในการนมัสการพระเจ้า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรลุกขึ้นและออกไปใน ช่วงที่นมัสการพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงใหญ่ยิ่ง และโทรมือถือนั้น ควรปิดไว้
เมื่อเราถวายการนมัสการเพื่อพระเจ้า และยกย่องพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงเทพระพรอันใหญ่หลวงแก่เรา คำว่า พระพร มาจาก คุกเข่าลง และคำว่า การนมัสการ ก็มาจาก คุกเข่าลงด้วย หมายความว่า เมื่อเราคุกเข่าลงนมัสการพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของเรา พระเจ้าทรงอำนวยพระพรเรา เมื่อเราประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราก็จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตของเราได้ด้วย
ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้า ก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า (สดุดี 127.1)
พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้สัตย์จริง ผู้ทรงถือลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดปิด ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดเปิด... (วิวรณ์ 3.7)