ReadyPlanet.com
dot
dot
แจ้งเพื่อรับข่าวสารจากเรา

dot
dot
ทีรันนัสดอทคอม
dot
bulletสารจากผู้อำนวยการ
bulletประวัติทีรันนัส
bulletติดต่อเรา
bulletแผนที่
bulletสมุดเซ็นเยี่ยม
bulletข่าวสารจากทีรันนัส
dot
หนังสือแยกเป็นหมวดหมู่
dot
bulletหมวด คริสเตียนศึกษา
bulletหมวด การเทศนา
bulletหมวด อธิบายพระคัมภีร์
bulletหมวด คู่มือศึกษาพระคัมภีร์
bulletหมวด ชีวิตคริสเตียน
bulletหมวด เพิ่มพูนคริสตจักร
bulletหมวด การสร้างสาวก
bulletหมวด การประกาศ-มิชชั่น
dot
สำนักพิมพ์ ทีรันนัส
dot
bulletสมัครเป็นสมาชิก
bulletสมัครเป็นผู้แทนจำหน่าย
bulletหนังสือใหม่ล่าสุด
bulletหนังสือขายดีติดอันดับ
bulletหนังสือพิมพ์ซ้ำ
bulletวิธีสั่งซื้อสินค้าจากเรา
bulletศูนย์รับแจ้งสินค้ามีปัญหา
bulletแนะนำร้านหนังสือคริสเตียน
dot
Phon Phaiboon Church
dot
bulletคำเทศนาของศิษยาภิบาล
bulletข่าวสารจากคริสตจักร
dot
เว็บอื่นๆ
dot
bulletLink ลิ้งค์ไปเว็บคริสเตียน
bulletwww.thaichristians.net


องค์การ gpinternational
สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย
เว็บข่าวสารคริสเตียนไทย ทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่แบ่งแยกคณะ บทความ  คำเทศนา  เรื่องสั้น  บทกลอน  แจกโฮมเพจเพื่อคริสตจักรในท้องถิ่น.... ฟังคำเทษนาออน์ไลน์  ลิ้งค์ไปเว็บต่างของคริสเตียนทั่วโลก   แหล่งซื้อขายของคริสเตียน  สิ่งดีๆที่คุณไม่ควรพลาดในเว็บไทยคริสเ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย
คริสตจักรพรไพบูลย์


เทศนาเรื่อง ฟื้นฟูด้วยพระวจนะ article

เนหะมีย์ 8.1-8

              หัวข้อ หรือ คำขวัญของคริสตจักรในปี 2007 คือ “พระเยซู ความหวังของโลก” พระเยซูจะเป็นความหวังของเรา และความหวังของโลกได้ ก็ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนไม่รู้ว่า พระเยซูเป็นความหวังของเขา เพราะเขายังไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าส่วนตัว บางคนเป็นคริสเตียนแล้ว แต่มีความสัม พันธ์กับพระเจ้าไม่ค่อยใกล้ชิด ห่างจากพระองค์ ก็รู้สึกพระเยซูไม่ได้เป็นความหวังของตนด้วย
          เราเพิ่งขึ้นปีใหม่ และกำลังเดินทางไปสู่อนาคตในปี 2007 ในช่วงนี้ สิ่งที่เราต้อง การมากที่สุด ก็คือ การฟื้นฟูจิตวิญญาณของเรา เพราะการฟื้นฟูทำให้เรามีความสัม พันธ์กับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด แล้ว เราจะเดินทางไปในปี 2007นี้ได้ดี

          ไม่มีใครเคยไปมา จึงไม่มีใครรู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดขึ้นอะไร เราจะพบอะไร เหมือนนักบินที่นำเครื่องบินขึ้นไปยังท้องฟ้าสูง มองไม่เห็นอะไร นอกเหนือจากเมขเท่านั้น จำเป็นต้องอาศัยเข็มทิศ เช่นเดียวกัน คริสเตียนเราจำเป็นต้องพึ่งอาศัยเข็มทิศฝ่ายวิญญาณในการดำเนินชีวิตคริสเตียน นั่นคือพระวจนะของพระเจ้า คนที่มีพระวจนะของพระเจ้า ไม่กลัวอนาคต

          ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวไว้ว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดุดี 119.105) เพราะ ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องการจริงๆในวันนี้ คือการฟื้นฟูจิตวิญญาณของเรา การฟื้นฟูจิตใจ หมายถึงความสำพันธ์กับพระเจ้า พระเจ้าก็ประสงค์ที่จะฟื้นฟูจิตใจของเรา     เมื่อชนชาติอิสราเอลได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขาได้สร้างกำแพงเยรูซาเล็มที่ถูกพัง นำโดยเนหะมีย์ ใช้เวลาเพียง 52 วัน ถึงแม้พวกเขาได้ปะสบความ สำเร็จในการสร้างกำแพงในช่วงเวลาสั้น แต่จิตใจลึกๆของเขายังไม่ค่อยมีความสุขและความมั่นคงเท่าที่ควร พวกเขาจึงต้องการความสุขและความมั่นคงในจิตใจของเขา ความสุขและความมั่นคงในจิตใจนั้นมาจากพระเจ้า เขาต้องการการฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าจึงได้ทรงทำการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพวกอิสราเอลด้วยพระวจนะของพระองค์

           การฟื้นฟูจิตใจเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทำการฟื้นฟูจิตใจของอิสราเอลด้วยพระวจนะของพระองค์อย่างไร พูดอีกนัยหนึ่ง ชนชาจอิสราเอลได้ตอบ สนองต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร การฟื้นฟูจิตใจจึงเกิดขึ้นได้

1. หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า (1-2)

        “ประชาชนทั้งปวงได้ชุมนุมพร้อมหน้ากันที่ลานเมืองหน้าประตูน้ำ และเขาบอกเอสราธรรจารย์ให้นำหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสสซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่อิสราเอลนั้นมา”(1)
       คนที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการฟื้นฟูจิตวิญญาณได้  ข้อนี้ได้บอกว่า “ประชาชนทั้งปวงได้ชุมนุมพร้อมหน้ากัน” น่าจับตามองดูคำว่า พร้อมหน้ากัน หมายความว่า ไม่ใช่เฉพาะผู้นำ หรือบางคนที่มีตำแหน่งเท่านั้น แต่ทุกคนได้ชุมนุมกัน ไปหาเอสราและได้บอกว่า เอาหนังสือพระคัมภีร์มา เพราะว่าเอสราเป็นธรรมจารย์ เขาได้ตั้งใจว่า จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนพระวจนะของพระเจ้าในอิสราเอล (อสร.7.10) หมายความว่า คนอิสราเอลที่ได้กลับมาอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มทุกคนมีจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า มีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า จิตใจที่หิวกระหายเช่นนี้ ก็มาจากพระเจ้า  เอสรามีนิมิตที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่คนอิสราเอล เขาคงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ขอพระเจ้าทรงเทจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระองค์แก่คนอิสราเอล แล้วข้าพระองค์มีโอกาสที่จะประกาศแก่พวกเขาว่า อะไรคือน้ำพระทัยของพระองค์”ถึงอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้จัดกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ หรือไม่ได้ประกาศหรือ บังคับให้มาเรียนพระคัมภีร์ แต่พวกเขามาเอง มาขอเอาหนังสือธรรมบัญญัติมา  คนที่มีจิตใจหิวกระหายพระวจนะของพระเจ้านั้น มักจะมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาชุมนุมกันในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ด วันต้นเดือนเป็นวันที่เขาถือรักษากันว่า เป็นวันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า (8.10) เหมือนวันสะบาโต

          เมื่อเอสราเห็นคนทั้งปวงมาหาให้เอาพระคัมภีร์มา คงดีใจมาก รู้ไหมว่า ศิษยาภิ-บาลชื่นชมยินดีมากเมื่อไร เมื่อสมาชิกมาหาด้วยใจปรารถนาที่จะเรียนพระคัมภีร์ นี่คือการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าที่ควรถูกเทลงมาในคริสตจักรของพระองค์ ทุกครั้งเมื่อเรามานมัสการพระเจ้า น่าจะร้องเพลงว่า “จิตวิญญาณข้ากระหายพระเจ้าดุจดั่งกวางน้อยกระหายหาน้ำ ทรงเป็นความปรารถนาแห่งจิตใจข้าที่อยากสรรเสริญพระองค์”ให้เราอธิษฐานให้สมาชิกทุกคนเต็มไปด้วยจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า

2. ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระเจ้า (3)

          “และท่านหันหน้าไปทางลานเมืองหน้าประตูน้ำ อ่านตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวันต่อหน้าผู้ชายผู้หญิงกับบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ และประชาชนก็ตะแคงหูฟังพระธรรม”
               ตามคำขอร้อง เอสรา ธรรมจารย์ได้เอาหนังสือธรรมบัญญัติมาอ่าน ตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวัน เช้าตรู่ คงหมายถึง ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ประมาณ 6โมงเช้า จนถึงเที่ยง นับได้ว่า ประมาณ 6ชั่วโมง สิ่งที่น่าประทับใจมาก ก็คือ ประชาชนก็ตะแคงหูฟังนานถึง 6 ชั่วโมง ตั้งใจฟัง ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระองค์ เพราะเขากระหายพระวจนะของพระเจ้า

            การฟื้นฟูได้เกิดขึ้นในท่ามกลางของคนที่ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระเจ้า คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ 3,000 คนที่ได้รับบัพติศมาในวันเพ็นเตคอสก็ได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของอัครทูต พวกเขาจึงเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วกระทำตามพระวจนะนั้น เช่น อธิษฐาน สามัคคีธรรม ช่วยเหลือคนที่ต้องการ และนมัสการพระเจ้า เป็นต้น ดังนั้น พวกเขาได้ประสบการฟื้นฟูทั้งภายในและภาย นอกด้วย ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และมีคนมารับเชื่อทุกวันๆ

             พี่น้องเคยมีประสบการณ์ที่จะภาวนาพระวจนะของพระเจ้าหลายชั่วโมงมั้ย โดยไม่ลุกขึ้น เคยเกิดจิตใจที่อยากอ่านและภาวนามากกว่ามั้ย ทั้งๆที่ภาวนาหลายสิบบทแต่รู้สึกไม่พอ ไม่อิ่ม ช่วงนั้นแหละ เป็นเวลาที่พระคุณของพระเจ้ามาถึงเราและเราจะประสบการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ

           ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์ (โรม 10.17) ขอให้เราตั้งใจฟังคำเทศนา เพราะคำเทศนา คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ควรหันไปข้างขวาหรือข้างซ้าย หรือหันกลับดูด้านหลัง ไม่ควรพูดคุยกับคนที่นั่งข้างๆ แต่ควรเอียหูฟังพระวจนะของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้า

3. ให้เกียรติแด่พระวจนะของพระเจ้า (5)

            “และเอสราได้เปิดหนังสือต่อหน้าประชาชนทั้งปวงเพราะท่านอยู่สูงกว่าประชาชน เมื่อท่านเปิดหนังสือ ประชาชนก็ยืนขึ้น”คำว่า ประชาชนก็ยืนขึ้น เป็นการสำแดงถึงเกียรติ ความยำเกรงและความถ่อมใจ ไม่ได้ถือว่า กำลังฟังคำปราศัยของคนธรรมดา แต่ถือว่ากำลังฟังพระสุระเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คริสต- จักรเธสะโลนิกาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เปาโลได้บอกว่า “เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา (คือ ได้ยินคำเทศนาจากเปาโล) ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า...”(1เธสะโลนิกา 2.13)  พระคัมภีร์บอกว่า “... เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติ และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น”(1ซมอ. 2.30 ข) ผู้ที่ให้เกียรติแก่พระคัมภีร์ ก็ให้เกียรติแดพระเจ้า เพราะว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า การที่เรายืนขึ้นเมื่อผู้นำจะอ่านพระคัมภีร์ กเพราะเหตุนี้ เชื่อมั่นว่า พระเจ้าจะทรงทำการฟื้นฟูจิตใจของคนที่ให้เกียรติแก่พระวจนะของพระเจ้า

4. เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า (8)

            “และเขาทั้งหลายอ่านจากหนัวสือจากธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และเขาก็แปลความ ปราชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่าน”
              การฟื้นฟูจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าที่เราอ่าน หรือฟัง ในดินสี่ชนิด ดินที่เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ก็คือดินดี พระเยซูทรงอธิบายว่า “ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นจะเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”(มัทธิว
13.23)
          เอสราได้อ่านพระคัมภีร์ให้ประชาชนฟังในกลุ่มใหญ่ และยังมีผู้ร่วมงานหลายคน ชื่อของคนเหล่านั้นอยู่ในข้อ 4 และ 7 ผู้ร่วมงานเหล่านี้ก็ได้อ่านพระคัมภีร์ให้คนฟังในกลุ่มย่อย และอธิบายความหมายของข้อความที่อ่านจนประชาชนเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว คนอิสราเอลชื่นชมยินดี และปฎิบัติตามอย่างถูกต้อง

              ถ้าเราจะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เราควรเข้ากลุ่มย่อยและศึกษาด้วยการถามและตอบ ตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฟีลิปได้พบขันทีชาวเอธิโอเปีย ขันทีคนนั้นกำลังอ่านหนังสืออิสยาห์อยู่ ฟีลิปถามเขาว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้น ท่านเข้าใจหรือ” เขาตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้”
          ในเวลาเดียวกัน เราควรอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนให้เข้าใจ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นวิญญาณแห่งความจริง พระองค์จะนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล และจะทรงแจ้งให้เราทราบทุกอย่าง เมื่อเราอ่านสดุดี 119 เราเห็นได้ว่า ผู้เขียนสดุดีได้อธิษฐานขอความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ในข้อ 18 บอกว่า“ขอเบิกตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระธรรมของพระองค์”

              มีคำกิริยา 4 คำที่เราน่าจับตามองดูและจดจำ ก็คือ ให้นำมา ตะแคงหูฟัง ยืนขึ้น และเข้าใจ เป็นท่าทีและการตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเราตอบสนองเช่นนี้ เราจะประสบการฟื้นฟูจิตใจที่แท้จริง ซึ่งมาจากพระเจ้า ขอให้เราได้รับการฟื้นฟูจิตใจของเรา และให้เราสร้างบรรยกาศภายในคริสตจักรให้เกิดการฟื้นฟูขึ้นในคริสตจักรของเรา




sermon colum 07

ศูนย์รวมคำเทศนา article
คริสตจักรที่ได้ทรงซื้อด้วยพระโลหิต
เทศนาเรื่อง ความเชื่อแห่งอาเมน
ต้องการการฟื้นฟูใหญ่หรือ article
คำเทศนาเรื่อง วิหารของพระเจ้า article
คำเทศนาเรื่อง ครอบครัวของพระเจ้า article
เทศนาเรื่อง พลังของลิ้น article
คำเทศนาเรื่อง ทัศนคติของคริสเตียนต่อเงินทอง article
คำเทศนาเรื่อง ทัศนคติของคริสเตียนต่อเงินทอง article
คำเทศนาเรื่อง จงบริหารเวลาอย่างมีปัญญา article
คำเทศนาเรื่อง ฟื้นฟูการนมัสการ article
คำเทศนาเรื่อง ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ article
คำเทศนาเรื่อง ความหวังของโลก article
sermon A 07 article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.