ข้อพระธรรม มัทธิว 2:1-12
หัวเรื่อง ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส
ประโยคสรุป เราทุกคนต้องมีท่าทีอย่างถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดในวันคริสตมาส
คำถาม ท่าทีอย่างไรจึงเรียกว่าเป็นท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ประโยคเชื่อม พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวถึงท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ไว้ 3 ประการด้วยกัน เพื่อช่วยให้เรามีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส
คำไข ท่าที
โครงเรื่อง
1. ใจแสวงหา
- โดยการศึกษาเรื่องราวพระเยซูคริสต์ (ในมัทธิว 2:1-2)
- โดยการตามหาพระเยซูคริสต์ (ในมัทธิว 2:1-2)
2. ใจมุ่งมั่น
- โดยการเดินทางอันแสนไกล (ในมัทธิว 2:3)
- โดยการกล้าพูดและกล้าเผชิญความจริง (ในมัทธิว 2:7)
3. ใจนมัสการ
- โดยการถ่อมตัวลง (ในมัทธิว 2:11)
- โดยการถวาย (ในมัทธิว 2:11)
ทักทาย
สวัสดีครับ คริสมาสนี้มีคนกล่าวอวยพรกับพี่น้องรึยังครับ ผมถือโอกาสที่จะอวยพรพี่น้องก่อนคนอื่นเลยแล้วกัน สุขสันต์วันคริสตมาสครับ พี่น้องครับเตรียมตัวรึยัง กับคริสตมาสที่จะมาถึง พูดง่ายๆ พี่น้องมีการเตรียมอะไรบ้างรึเปล่ากับการที่จะร่วมงานฉลองวันเกิดของพระเยซู
คำนำ
ผมจำได้วันเกิดของผมในปีหนึ่ง มีพี่น้องที่โบสถ์ที่เป็นเพื่อนสนิทมากๆ จัดงานวันเกิดให้ผม ส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกประทับใจที่เพื่อนๆ ให้ความสำคัญและจำวันเกิดของผมได้ แต่ที่ผมต้องจำไปมากกว่านั้นคือ ท่าทีของเพื่อนๆ ที่พวกเขามีต่อผมในวันเกิดของผมเอง คือ วันนั้นผมจำได้ว่าผมไม่สบาย เพื่อนก็โทรเรียกผมให้ไปที่โบสถ์ เมื่อผมไปถึงโบสถ์ ก็พบว่า พวกเขาได้จัดเตรียมงานฉลองวันเกิดให้ผมในหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่องานฉลองเริ่ม เพื่อนเริ่มก็เล่นเกม โดยเกมนี้ก็มีกติกาอยู่ว่า เขาจะถามคำถามที่เกี่ยวกับชีวิตของผม และถ้าตอบไม่ถูก คนนั้นก็จะถูกทำโทษด้วยการโปะแป้ง แต่ถ้าตอบถูก ผมเองก็จะถูกโปะแป้ง ก็ปรากฏว่าคนที่โดนแป้งมากที่สุดก็คือผมเอง เพราะว่าส่วนมากพวกเขาก็ตอบถูกกันหมด ก็สมความตั้งใจของเพื่อนที่อยากจะแกล้งผม แต่นั้นก็ยังไม่หนำใจพวกเขา ในคำถามสุดท้าย พวกเขาได้เตรียมถังน้ำใบหนึ่งมาไว้บนหัวผม แล้วก็ถามคำถาม โดยที่คำถามนั้นเป็นคำถามที่ทุกคนตอบได้หมด ผมก็เลยโดนสาดน้ำไปเต็มๆ เวลานั้นผมนึกในใจว่าพวกเขาจะทำให้ผมมีความสุขหรือพวกเขาว่าตอบสนองความสะใจของพวกเขาเองกันแน่ จริงๆแล้วท่าทีแบบนี้ ผมก็เคยทำอยู่บ่อยๆกับวันเกิดของเพื่อนๆ เลยมีคำศัพท์เฉพาะกลุ่มของเราว่า ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ผมคิดถึงท่าทีของเราเองที่มีต่อพระเยซู ซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดในวันคริสตมาสที่จะมาถึงนี้ เหมือนกัน เพราะไม่แน่พระเยซูอาจจะเป็นเหยื่อ ในการสนองความต้องการของเราเองก็เป็นได้
พี่น้องครับเราเคยคิดมั้ยว่า เรามีท่าทีที่ถูกต้องแล้วหรือยังต่อพระเยซู ซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิด ในวันคริสตมาสนี้ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราสมควรที่จะมีท่าทีอย่างถูกต้องต่อพระเจ้าในวันคริสตมาส ซึ่งพระวจนะของพระเจ้าที่มีมาถึงเราในวันนี้ ได้กล่าวถึงท่าทีที่ถูกต้องไว้อย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน ให้เรามาเปิดพระธรรมด้ยกันใน
.
ข้อพระธรรมมัทธิว บทที่ 2:1-12
คงเดาได้ไม่อยากนะครับว่าวันนี้เราจะเรียนถึงท่าทีที่ถูกต้องจากใครในพระธรรมตอนนี้ ครับ โหราจารย์นั้นเองภาพรวมเหตุการณ์
ในขณะนั้นพระเยซูบังเกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮม ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 1-2 ปีแล้ว(จากหลักฐานภายใน) เป็นสมัยที่กษัตริย์เฮโรดปกครอง ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชาวยิวไม่ให้การยอมรับเท่าที่ควร เนื่องจากเขาไม่ได้สืบสายมาจากกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเป็นเชื้อสายที่ชาวยิวยอมรับ ดังนั้นกษัตริย์เฮโรดเอง เขาจึงไม่มีท่าทีที่จะรอคอยพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะมาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวยิว เหมือนชาวยิวส่วนใหญ่ที่รอคอยอยู่ในขณะนั้น เพราะเฮโรดกลัวว่า ผู้ที่จะมานั้นจะมาแย่งตำแหน่งของเขา และแถมเขายังเป็นกษัตริย์ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม โหดร้าย อีกด้วย
พี่น้องครับให้เรารองคิดดูแล้วกัน ถึงแม้นว่าเราจะรู้อย่างแน่นอนว่า พระเยซูเป็นกษัตริย์ที่จะมาช่วยเรา ซึ่งจะเป็นกษัตริย์ที่แท้จริงของเรา เราจะกล้าที่พูดหรือแสดงท่าทีที่ถูกต้องต่อความจริงนี้ไหมในขณะนั้น และยิ่งต่อกษัตริย์เฮโรดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ด้วย
แต่มีผู้ที่กล้าที่จะแสดงท่าที่ถูกต้องต่อพระเยซูในพระธรรมตอนนี้ก็คือ พวกโหราจารย์ ที่เราจะศึกษาด้วยกันในวันนี้นี้เอง พี่น้องคิดดูแล้วกันนะครับว่า พวกโหราจารย์จะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคใดบ้าง ก่อนที่เขาจะเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบและได้นมัสการพระเยซูตามที่เขาปรารถนา เนื่องจากเขามีท่าทีที่ถูกต้องต่อการเสด็จมาบังเกิดของพระองค์
ดังนั้นท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูในวันคริสตมาส มี 3 ท่าทีด้วยกันที่เราเรียนรู้ได้จากพวกโหราจารย์ นั้นก็คือ
ท่าทีประการที่ 1 คือใจแสวงหา
คือ พวกเขามีท่าทีแห่งใจแสวงหา พวกเขามีใจแสวงหาอย่างไร ? ถึงแม้นเราจะไม่รู้ถึงประวัติของพวกโหราจารย์ มากหนักว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน และมากันกี่คน เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้อย่างชัดเจน แต่จากการศึกษาเราพบว่า โหราจารย์(นักปราชญ์)เหล่านี้เป็นชนชั้นสูงที่มีการศึกษาซึ่งอาจจะมาจาก ปารเธีย ใกล้กับกรุงบาบิโลนโบราณ เพราะพระธรรมบันทึกว่าเขามาจากทางตะวันออก(ข้อ 1) หน้าที่การงานของพวกเขาก็คือการทำนายหรือพยากรณ์ให้กับกษัตริย์ หรือถ้าจะคิดให้ลึกซึ้งกว่านั้นก็พูดอีกอย่างหนึ่งว่าพวกเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้แก่กษัตริย์เกี่ยวกับการวางแผนงานและความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตโดยอาศัยศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะศาสตร์แห่งดวงดาวเพื่อที่จะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีข้างหน้าหรือปีต่อๆ ไป เช่นว่า ปีหน้า ฝนจะแล้ง หรือจะตกชุก จะมีภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ดีร้ายยังไงบ้างหรือไม่ ถ้าเปรียบกับปัจจุบันก็คือนักดาราศาสตร์ หรือนักอุตุนิยมวิทยา นั่นเอง และจึงนำข้อมูลการพยากรณ์ที่ได้นี้ไปเป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนงานของบ้านเมืองต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเขามีใจแห่งการแสวงหาก็คือ การศึกษาที่เอาจริงเอาจังของเขาต่อเรื่องราวของพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด(ดูจากข้อ 2) เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพวกยิวเองที่เคยตกเป็นเชลยที่นั้น ได้รับคำสอนที่ตกทอดมา ก็น่าประทับใจว่าคำสอนเรื่องนี้ ยังเข้มข้นอยู่ในจิตใจของเขา ท่ามกลางสภาวะของผู้ไม่เชื่อ หรือหากพวกเขาเป็นคนต่างชาติก็ยิ่งน่าประทับใจไปใหญ่กับการแสวงหาของเขาในการศึกษาความจริงนี้ ท่าทีของพวกเขาในการศึกษาส่งผลทำให้พระเจ้าเองได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่พวกเขา ในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ คือพระองค์ได้เปิดเผยผ่านดวงดาวของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยให้แก่เขา เพราะจากนักดาราศาสาตร์ได้บอกว่าดวงดาวที่เห็นน่าจะเป็นดาวดวงเดียวกันกับที่ขึ้นทุกๆ 70ปี ซึ่งบอกถึงจะมีกษัตริย์ มาเกิด ดังนั้นจะต้องมีดาวแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แต่เชื่อว่าดาวดวงนี้จะต้องพิเศษไปกว่าดาวดวงที่ผ่านมาแน่นอนจนถึงทำให้พวกเขายอมที่จะออกเดินทางมา เพื่อที่จะนมัสการกษัตริย์องค์นี้
ตัวอย่าง ผมเคยไปที่ดอยห้วยไก่ป่าที่เชียงใหม่ ที่นั้นไม่มีไฟฟ้า ทำให้ผมเห็นดวงดาวเยอะมาก และเหมือนมันอยู่ใกล้ด้วย ผมไม่กล้าที่จะเอื้อมมือขึ้นไปเลย เพราะกลัวว่าดาวจะติดมือผมมา ดังนั้นดาวทุกดวงเป็นดาวประหลาดสำหรับผม ผมเลยเชื่อเลยว่าถ้าพระเจ้าไม่สำแดงแก่เรา เราไม่สิทธิที่จะรู้เลย แต่เป็นเพราะท่าทีที่ดีของโหราจารย์ต่างหาก ที่พวกเขาพยายามศึกษาแสวงหาอย่างแท้จริงเกี่ยวกับพระผู้ช่วยในรอดที่ยิ่งใหญ่นี้เอง จึงทำให้พระเจ้าสำแดงแก่พวกเขาโดยผ่านสิ่งที่พวกเขารู้และเข้าใจ
- อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าพวกเขามีใจแสวงหาอย่างแท้จริงก็คือ พวกเขาแสดงออกในสิ่งที่เขารู้ โดยการออกตามหากษัตริย์ พระผู้ช่วยองค์นี้ นั้นเป็นการแสดงถึงว่าเขามีใจที่แสวงหาอย่างแท้จริงคิดดูนะครับ ถ้าเราศึกษาและรู้ว่าจะมีกษัตริย์ที่ยิ่งที่สุด และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณ มาบังเกิด เราจะไม่ทำอะไรเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ แน่นอนถ้าเราเชื่อจริงหรือมีใจที่แสวงหาจริงเราต้องตอบสนองอะไรบ้างอย่าง เหมือนกับโหราจารย์ที่ออกเดินทางมายังเบธเลเฮม สถานที่ที่พวกเขาศึกษาดีแล้วว่าเป็นที่ที่พระเยซูพระผู้ช่วยมาบังเกิด อย่าให้เราเป็นเหมือนกับ เหล่าหัวหน้าปุโรหิตและบรรดาพวกธรรมาจารย์ทั้งหลาย(ข้อ 4-5) ที่เป็นผู้ที่น่าจะรู้ว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกยิวเป็นใครและมาบังเกิดแล้วก่อนใครๆ แต่กลับเป็นคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจที่สุดในการบังเกิดของพระเยซู เป็นไปได้ที่พระเจ้าไม่ได้สำแดงแก่พวกเขาโดยตรงเหมือนกับโหราจารย์ แต่ก็เป็นไปได้ที่พระเจ้าบอกผ่านโดยพวกโหราจารย์ แต่พวกเขากลับปิดใจที่จะแสวงหาพระเจ้าต่อไป น่าเสียใจและเสียดายจริงๆ สำหรับคนที่น่าจะพบและได้นมัสการพระเยซูก่อนใครๆกับเป็นคนท้ายสุดหรือไม่มีโอกาสเลยที่จะได้พบ แถมมากไปกว่านั้นพวกเขานี้เองที่ในเวลาต่อมาเป็นผู้ที่ต่อต้านพระเยซูกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขารอคอยด้วยซ้ำไป
นำไปใช้พี่น้องครับอธิฐานเผื่อพวกเรากันเองด้วยนะครับ ขอพระเจ้าอย่าให้เรามีท่าทีแบบพวกปุโรหิตและธรรมาจารย์ ที่อยู่กับพระธรรมแท้ๆแต่เมื่อพระเยซูมาจริงๆ กลับไม่รู้จักพระองค์ แถมยังต่อต้านพระองค์อีก แต่ให้เรามีใจที่แสวงหาเหมือนกับพวกโหราจารย์ ซึ่งศึกษาและตามหาพระเยซูจนพระองค์เองได้สำแดงกับพวกเขาให้รู้ว่าพระองค์เองเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก่อนถึงวันคริสตมาสนี้ให้เราตั้งใจซะตั้งแต่วันนี้เลย ว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์โดยการเริ่มศึกษาจากการกำเนิดของพระเยซูนี้ เพื่อที่เราจะรู้ความหมายของคริสตมาสอย่างแท้จริง เพื่อที่พระองค์เองจะสำแดงพระองค์แก่เรา ซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งพิเศษสุดแล้วที่เราจะไปงานวันเกิดพระองค์แล้วได้พบกับพระองค์ แล้วทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยนี่เป็นท่าทีแรกที่เราควรจะมีต่อพระเยซูซึ่งเป็นเจ้าของวันคริสตมาส นั้นคือ ท่าทีแห่งใจแสวงหา และนอกจากเราจะใจแสวงหาแล้ว เรายังต้องมี
ท่าทีประการที่ 2 ที่เราเห็นจากเหล่าโหราจารย์ก็คือ ท่าทีแห่งใจมุ่งมั่น
ท่าทีอย่างไรเรียกว่ามีใจมุ่งมั่น? ครั้งหนึ่งผมเคยเข้าฝึกอบรมการเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองของเรา หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เกณฑ์ทหารนั่นแหละครับ และขณะนั้นเองครอบครัวของผมเกือบทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผมคงไม่ไหวแน่ๆ พวกเขาก็เลยพยายามหาทางอย่างมากเพื่อไม่ให้ผมไม่ต้องเป็นทหารในครั้งนั้น แต่ยังดีที่มีคนยังถามความคิดของผมอยู่บ้าง มีคำพูดของคุณพ่อของผม ซึ่งได้พูดกับผมในขณะนั้น คุณพ่อพูดว่า บางครั้งไม่ใช่แค่พละกำลังหรือร่างกายของเราเท่านั้นที่จะทำให้เราผ่านพ้นสิ่งที่ดูเหมือนยากลำบากนี้ได้ แต่อยู่ที่ใจของเรามากกว่า ว่าเรามีใจที่มุ่งมั่นเพียงพอไหมที่จะเผชิญกับมัน พ่อจึงหันมาถามผมว่า มีใจมั้ยลูก ผมก็บอกไปว่า มี พ่อผมเลยพูดต่ออีกว่า สิ่งที่จะวัดว่าเรามีใจมุ่งมั่นอย่างแท้จริงนั้น คืออุปสรรคและปัญหา ถ้าเราสามารถเผชิญกับอุปสรรคและปัญหานั้นได้เท่ากับว่า เรามีใจที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริง
ดังนั้น ผมเชื่อว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า โหราจารย์มีใจที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงก็คือ ปัญหาและอุปสรรคที่เขาได้พบในการไปนมัสการพระเยซูคริสต์
- อุปสรรคแรกที่เขาได้พบคือ ระยะทาง จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ พบว่าโหราจารย์เหล่านี้น่าจะเดินทางมาจากเมืองปารเธีย ใกล้กรุงบาบิโลนเก่า เพราะฉะนั้นเส้นทางที่โหราจารย์เดินทางจากบ้านเมืองของเขา จนมาถึงเบธเลเฮมนั้นมีระยะทางหลายพันกิโลเมตร เลยทีเดียว
พี่น้องลองคิดดูว่า สมัยก่อนนั้นการเดินทางก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ เขาต้องใช้อูฐเป็นพาหนะในการเดินทาง อีกทั้งเส้นทางก็ต้องผ่านทะเลทราย หุบเขา สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซ้ำต้องเสี่ยงชีวิตกับพายุทะเลทราย ลองนึกภาพถึงตัวเราเองหากต้องเดินทางในสภาพเช่นนั้นเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ซึ่งเท่ากับเดินทางข้ามประเทศหลายประเทศด้วยกัน ถ้าไม่เรียกว่ามีใจมุ่งมั่นแล้ว จะเรียกว่าอะไร
พี่น้องครับ เราเคยมีอุปสรรคในการเดินทางมาพบพระเจ้าอย่างนี้มั้ย ถ้าใครกำลังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทางมาคริสตจักร ซึ่งอาจต้องเดินทางด้วยรถเมล์ ฝ่ารถติดและมลพิษ ถ้าเรารู้สึกเช่นนี้ก็ขอให้นึกถึงเหล่าโหราจารย์เอาไว้ ว่าเขาจะต้องอุตสาหะมากเพียงใดในการเดินทางมาเข้าเฝ้าพระเยซูคริสต์ของเรา
- อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งที่เราเห็นจากโหราจารย์ที่ทำให้เรารู้ว่าเขามีใจมุ่งมั่นก็คือ การเผชิญหน้ากับความเป็นจริง (มัทธิว 7) เขาต้องพูดความจริงทั้งหมดที่เขาได้แสวงหามานั้น เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซู ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่จะมาปกครองชาวยิวนั้น ต่อหน้ากษัตริย์เฮโรดที่กำลังปกครองชาวยิวอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเราก็รู้ดีว่ากษัตริย์เฮโรดนั้นมีนิสัยอย่างไร และในพระคัมภีร์ก็ทำให้เรารู้ว่า โหราจารย์ได้พูดความจริงทุกอย่างอย่างมิได้เกรงกลัวต่ออันตรายที่อาจเกิดกับเขาเลย เพราะอะไร เพราะเขามีใจมุ่งมั่นที่จะไปพบพระเยซูคริสต์
ตัวอย่าง ในที่สุด เมื่อผมได้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ เพราะมันทั้งเหนื่อยและหนักอย่างโหด ผมจำได้ในวันแรกที่มีการเรียกประชุมรวมพล ก็มีการเชือดไก่ให้ลิงดูตามระเบียบ ครูฝึกได้เรียกเพื่อนทหารคนหนึ่งออกไป ก็ไม่ได้พูดพล่ามทำเพลง ทั้งมือและเท้าก็ใส่เพื่อนทหารคนนั้นจนเขาลงไปกองกับพื้น โทษฐานที่คุยกันในขณะที่เขากำลังพูด มันได้ผล หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกคนต่างก็เงียบ ไม่มีการพูดคุยกันอีกเลย
ในคืนนั้นเอง ก่อนที่จะเข้านอน ก็จะต้องมีการสวดมนต์ ตอนนั้นผมเป็นคริสเตียนแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นมากว่าผมจะต้องทำยังไง ในขณะที่พวกเขาพนมมือและสวดมนต์กัน ในใจผมคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าครูฝึกเดินมาพบว่าผมไม่พนมมือ เขาคงไม่ถามผมแน่ และผมก็อาจต้องโดนเหมือนเพื่อนคนนั้น ผมเลยอธิษฐานอย่างมากในเวลานั้น และในที่สุดผมก็ได้รวบรวมความกล้าหาญ โดยการยกมือขึ้นอย่างช้าๆ และก็บอกว่าผมเป็นคริสเตียนครับ ครูฝึกทั้งหมดทำหน้างงๆ อยู่สักพักหนึ่ง และหันไปพูดคุยกัน ขอบคุณพระเจ้า เขาเข้าใจ แล้วปล่อยผมไปตามทางของผม และเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในช่วงเวลาต่อมา เพราะผมก็ได้รับสิทธิพิเศษหลายสิ่งหลายอย่าง ดูเหมือนเราจะต่างจากคนอื่น และดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นปัญหาสำหรับเรา แต่พระเจ้ากลับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเรา ที่จะประกาศเรื่องราวของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา ครั้งต่อมาผมได้รับการยอมรับจากทั้งครูฝึกและเพื่อนร่วมทหารด้วยกัน ซึ่งเป็นหัวหน้าที่จะดูแลพี่น้องทหารเกณฑ์ทั้งหมด
พี่น้องครับ บางครั้งปัญหาและอุปสรรคก็เป็นตัววัดใจที่มุ่งมั่นที่เรามีต่อพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคและเป็นปัญหาในชีวิตที่ทำให้เราพบกับพระองค์ไม่ได้ ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการเดินทาง หรือแม้กระทั่งการกลัวว่าคนที่มีอิทธิพลต่อเรา เช่น พ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือเจ้านายที่ทำงานของเรา เพราะถ้าเราพูดเรื่องของพระเจ้าไปแล้วว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาอาจจะไม่ชอบหรือเกลียดหน้าเราก็ได้ หรือไม่สนับสนุนเราอีกต่อไป ซึ่งนั้นอาจจะเป็นผลต่อการดำเนินชีวิตที่สุขสบายของเรา หรือความก้าวหน้าทางการงานของเรา แต่พี่น้องครับ จงมั่นใจในความจริงของพระเจ้าว่า พระองค์จะรับผิดชอบกับท่าทีของเราที่ถูกต้องต่อพระองค์อย่างแน่นอน
นั่นเป็นท่าทีของโหราจารย์ 2 ประการ คือ 1. มีใจแสวงหา 2. มีใจมุ่งมั่น และประการสุดท้าย ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์เจ้าของวันเกิดในวันคริสตมาส นั่นคือ มีท่าทีแห่งใจนมัสการ
3. ใจนมัสการ
เราจะได้เห็นตลอดจากพระคัมภีร์ตอนนี้ในเรื่องการมีใจนมัสการของโหราจารย์ ซึ่งการนมัสการนี้เป็นเหตุผลหลักที่โหราจารย์มาพบพระเยซู และน่าจะเป็นท่าทีและหัวใจหลักของพระคัมภีร์ตอนนี้ด้วย
- อย่างแรกที่เราได้เห็นว่าเขามีใจอย่างไรในการนมัสการ (มัทธิว 2:11) เมื่อเขาพบพระกุมารหรือพระเยซูคริสต์ สิ่งแรกที่เขาทำคือ กราบลงต่อพระองค์ คำว่ากราบนี้ในภาษาเดิมหมายถึง การทรุดตัวลงถวายบังคม พระคัมภีร์ยังใช้คำนี้เป็นคำเดียวกับที่มีความหมายว่า พังทลายลง พี่น้องครับ การที่จะนมัสการพระเจ้า เราต้องมีท่าทีแบบนี้ คือ เรารู้ดีว่า โหราจารย์ ในตำแหน่งของเขามีฐานะที่สูง เป็นถึงที่ปรึกษาของกษัตริย์ มีความรู้ การศึกษาที่สูง ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่เมื่อเขาพบพระเยซู อะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เขาว่าดีและเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของเขาในสังคม มันได้พังทลายลง จนเขาไม่หลงเหลืออะไร จนทำให้เขาทรุดตัวลงและกราบลงต่อหน้าเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่เขาเชื่อและมั่นใจว่า เขาจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของเขาและคนทั่วโลกต่อไป
ในชีวิตของเรามีอะไรบ้างที่เรารู้สึกว่านั่นคือเกียรติและศักดิ์ศรีที่เรายึดไว้ ไม่ว่าจะเป็น ฐานะทางสังคม ตำแหน่งหน้าที่การงานของเรา หรือแม้กระทั่งความรู้การศึกษา ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งนี้ทำให้ทุกคนยอมรับในตัวเรา มันได้พังพลายลงหรือยัง หรือว่าเราพร้อมที่จะให้มันออกไปหรือยัง ถ้ามันเป็นอุปสรรคต่อการเข้าเฝ้าพระองค์ พี่น้องอย่าให้สิ่งเหล่านี้มาอยู่เหนือหรือยิ่งใหญ่ไปกว่าพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นผู้ที่เราสมควรนมัสการแต่เพียงผู้เดียว นะครับ
-อย่างที่สองที่เราเห็นว่าโหราจารย์นั้นมีใจแห่งการนมัสการอย่างแท้จริง คือเขาได้นำของที่เขาจัดเตรียมมาถวายแด่พระเยซูคริสต์ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ ในสมัยนั้นเป็นของที่มีค่าอย่างที่สุด เพราะเป็นของที่จะให้เป็นเครื่องบรรณาการของกษัตริย์หรือผู้ที่สูงส่งจริงๆ ผมเชื่อว่าพระองค์ไม่ได้ประสงค์สิ่งล่ำค่าจากเรา เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงดูท่าทีของเรามากกว่า ซึ่งท่าของโหราจารย์นี้ก็บอกให้เรารู้ว่า พวกเขาเห็นคุณค่าของพระเยซูมากกว่าสิ่งของเหล่านี้มากหนัก
ตัวอย่าง ซึ่งต่างกันมากกับท่าทีของ เฮโรดที่ไม่เห็นคุณค่าของพระเยซูพระผู้ช่วย แม้แต่น้อย สิ่งที่เขาคิดได้ก็คือจะทำอย่างไรที่จะกำจัด พระเยซูผู้นี้ไปให้พ้นทาง ซึ่งเป็นทางที่เขาคิดว่าเป็นทางที่จะนำให้เขาไปสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่ต่อไปได้ ท่าที่ของเขาจึงตรงข้ามกับโหราจารย์อย่างสิ้นเชิง
พี่น้องครับเราเลือกที่จะมีท่าทีในการนมัสการอย่างไรต่อพระยซูในวัคริสตมาสนี้ เรามีอะไรมาถวายแด่พระเยซูคริสต์ ในเพลงหนึ่งได้บอกเราว่า พระคริสต์ยอมตายเพื่อท่าน แล้วท่านล่ะทำอะไรเพื่อพระองค์ ให้คริสตมาสปีนี้ให้เราตั้งต้นใหม่ที่เราจะมีใจที่จะนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง อย่างที่บอกพระองค์ทรงบริบูรณ์แล้วทุกอย่าง เพียงแต่พระองค์ ปราถนาให้เรามีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระองค์ เพราะนอกจากว่าจะเป็นการที่แสดงถึงเรารู้จักพระองค์ดี มันยังทำให้ทุกคนได้รู้จักพระเยซู ผ่านท่าทีที่ถูกต้องของเราอีกด้วย
คริสตมาสปีนี้อย่าให้เราเป็นเหมือนอย่าง เฮโรด ที่มีท่าทีที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ยึดอำนาจ ศักดิ์ศรีที่ตนมีอยู่ ซึ่งมันทำให้เขามีแต่ความวุ่นวาย หรือตกอยู่ในความกลัวว่าจะมีใครที่จะมายิ่งใหญ่กว่าตน ซึ่งในวันคริสตมาสหรือวันที่พระเยซูมาบังเกิดน่าจะเป็นวันที่มีแต่ความสุข และความรื่นเริงยินดี
พี่น้องครับ ดังนั้นอย่าให้สิ่งใดมาทำให้คริสตมาสในปีนี้ของเรา ทำให้เราวุ่นวายใจ หรือไม่สบายใจ อย่าให้สิ่งเหล่านั้นมาอยู่หรือมีความสำคัญต่อการได้ พบและนมัสการพระองค์พระผู้เป็นที่รักของเรา
สรุป
พี่น้องครับ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะมีท่าทีอย่างถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ของเราในวันคริสตมาส เพื่อเราจะถวายนมัสการพระองค์และได้พบพระองค์อย่างแท้จริง เราต้องมีท่าที3 อย่างนี้ หรือ 3 ใจ คือ
ใจแสวงหา แสวงหาที่จะศึกษาพระคำของพระองค์ และให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ใจมุ่งมั่น แม้จะมีอุปสรรคมากมายในการมาพบพระเยซูคริสต์ แต่อย่าให้อุปสรรคนั้นมาทำลายความตั้งใจจริง คือใจที่มุ่งมั่นที่จะมาเข้าเฝ้าและนมัสการพระองค์
ใจนมัสการ อย่าลืมที่จะถวายสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา เมื่อเราพบกับพระองค์ เริ่มจากวันคริสตมาสที่จะมาถึงนี้ ให้เราตั้งใจของเราว่าเราจะมีท่าที 3 อย่างนี้ต่อพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของวันเกิดในวันคริสตมาส เพื่อให้พระองค์พอพระทัย มิใช่เพื่อตอบสนองความสะใจของเราเอง
พี่น้องครับ 2000 กว่าปีที่แล้ว มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เขาแสวงหามุ่งมั่นที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ได้พบสิ่งที่พิเศษที่สุดในชีวิตของเขา นั่นก็คือเขาได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเขา แต่น่าเสียใจที่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เขาไม่ได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพราะเขาไม่มีท่าทีในการแสวงหา มุ่งมั่น และนมัสการพระเยซูอย่างแท้จริง เห็นจากการที่พวกเขาเหล่านั้นต้อนรับพระองค์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย รางหญ้า และดาบ ซึ่งหวังจะฆ่าพระองค์ให้ตายในวันที่พวกรู้ว่าพระองค์เสด็จมา แต่นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจและรู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่พี่น้องครับ ในตอนนี้และเวลานี้ เรารู้แล้วว่าองค์พระเยซูคริสต์เป็นผู้ใดในชีวิตของเรา หวังว่าในคริสตมาสปีนี้ เราคงไม่ต้อนรับพระองค์ด้วยรางหญ้าและด้วยดาบโดยการการปฏิเสธ ไม่สนใจ หรือวุ่นวายใจ อีกต่อไป แต่ที่จะมีใจที่แสวงหา มุ่งมั่นที่อยากจะพบ เพื่อจะนมัสการพระองค์อย่างแท้จริงนะครับ
โดย ทวิชาติ พันธ์แก้ว