ฮีบรู 12.1-3
เอเซียนเกมส์ครั้งที่ 15 ที่เรียกว่า โดฮาเกมส์ กำลังดำเนินการอยู่ที่เมืองโดฮา เมืองหลวงของประเทศกาตาร์ นักกีฬาที่มาจากประเทศต่างๆในเอเซียกำลังแข่งขันกันอยู่ นักกีฬาที่ชนะก็ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงตามลำดับ แต่เหรียญที่มีคุณค่าสูงสุด ก็คือเหรียญทอง อันดับของประเทศก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญทอง ดังนั้น เหรียญทองเป็นความฝันของนักกีฬาทุกคน น้องไก่ ปวีณา นักยิงปืนก็แสดงความฝันของเขาว่า ได้เหรียญทองในโอลิมปิกเกมส์ นักขี่ม้าชาวเกาหลีก็มีความฝันในโดฮาเกมส์ครั้งนี้เช่นเดียวกัน คือเหรียญทอง ก่อนที่ความฝันกลายเป็นความจริง เขาได้ตกจากม้า แล้วเสีย ชีวิตในที่สุด เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจจริงๆ
พระคัมภีร์ได้เอาชีวิตคริสเตียนมาเปรียบเทียบกับนักกีฬา พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราได้เหรียญทองฝ่ายวิญญาณ ในข้อที่ 1 ได้บอกว่า เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนั้นแล้ว... พยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างที่นี่ คงหมายถึงรุ่นพี่แห่งความเชื่อซึ่งปรากฎอยู่ในบทที่ 11 ในฮีบรูบทที่ 11นั้น มีบุคคลที่มีชื่อตั้งแต่อาแบลถึงซามูเอล ทั้งหมด 16คน และอีกมากมายที่ไม่มีชื่อ ซึ่งนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้ได้แข่งขันและได้รับเหรียญทอง ในคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้น แต่มีผู้หญิงด้วย คนยิวและคนต่างชาติด้วย หมายความว่า คริสเตียนทุกคนเลยที่แข่งขันอยู่ ไม่ยกเว้น พระคัมภีร์สำหรับวันนี้ได้บอกกับเราว่า ทำอย่างไร เราจึงได้รับเหรียญทองได้
1. ตัดอุปสรรคทิ้งเสีย
ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น (1 ข) ตามพระคัมภีร์ข้อนี้ มีอุปสรรคสองประการในการแข่งขันฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราจำเป็นต้องตัดทิ้งเสีย ยิ่งเร็วยิ่งดี ประการแรก ก็คือ ทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ เมื่อเราสังเกตดูการแต่งกายของนักกีฬาที่วิ่งบนสนามกีฬา ถอดเสื้อเกือบทั้งหมดนอกจากเสื้อใน เพราะว่าเสื้อนอกนั้นทำให้นักกีฬาไม่สะดวกที่จะแข่งขัน การแข่งขันฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน เราก็ตัดทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ เช่น ความสงสย ความเย่อหยิ่งจองหอง ความหน้าซื้อใจคด ประเพณีที่ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ และความคิดทุกอย่างที่มาจากมนุษย์
อาจารย์ท่านหนึ่งได้อธิบายว่า ทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ คือ ความกังวลและความกระวนกระวาย ในคำอุปมาของพระเยซูเรื่องผู้หว่านพืช มีดินสี่ชนิท แลัสาเหตุที่เมล็ดที่ตกในกลางต้นหนามไม่เกิดผล เพราะต้นหนามงอกขึ้นปกคลุมเสีย พระองค์ได้ทรงตีความไว้ว่า และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลกและความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะเสีย จึงไม่เกิดผล(มัทธิว 13.22)
ประการที่สอง คือ บาปที่เกาะแน่น เราต้องละทิ้งบาปที่เกาะแน่นด้วย บาปที่เกาะแน่น หมายถึงบาปที่ติดอยู่ใกล้มากที่สุดกับเรา และนิสัยที่ไม่ดีซึ่งเรายังรักษาไว้ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด คิดว่าคงไม่มีใครรู้ ก็เลยพยายามซ่อนไว้ เราอาจหลอกลวงคนอื่นชั่วคราวได้ แต่เราหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าบาปนั้นเล็กมากขนาดไหนก็ตาม พระองค์ทรงทราบสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจของเรา ซึ่งยังไม่บอกใครเลย
พระคัมภีร์บอกว่า แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คดพูดหยาบโลน อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่ากับการปฎิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว (โคโลสี 3.8-9) และอีกตอนหนึ่ง กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน (โรม 13.12-13) เมื่อเราได้ละทิ้งทุกอย่าที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น เราจะวิ่งได้ดี จะแข่ง ขันฝ่ายวิญญาณอย่างเกิดผลได้
2. วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม
...ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา อย่ายกเลิก แต่วิ่งไปถึงจุดปลายทาง คำว่า วิ่งแข่งที่นี่ หมายถึงวิ่งเรื่อยๆไม่ใช่วิ่งครั้งเดียวแล้วก็จบ คริสเตียนทุกคนกำลังวิ่งแข่งฝ่ายวิญญาณ ไม่เพียงในปัจจุบัน แต่ในอนาคตด้วยจนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา นักวิ่งทุกคนยืนอยู่จุดเริ่มต้นได้ แต่ไม่ใช่นักวิ่งทุกคนวิ่งไปถึงจุดปลายทางได้ เช่นเดียวกัน เมื่อเราวิ่งแข่งอยู่ บางครั้งอยากจะยกเลิกเพราะไม่ตรงกับความคิดของตน หรือบางครั้งอยากจะนั่งลง แต่อย่ายกเลิก เราจำเป็นเรียนรู้ ความเพียรพยายาม รุ่นพี่แห่งความเชื่อซึ่งปรากฎอยู่ในบทที่ 11 ส่วนใหญ่วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม แล้วได้ชัยชนะในที่สุด ถ้าเราจะวิ่งแข่ด้วยความเพียรพยายาม ไม่ควรมองดูสภาพปัจจุบันเท่านั้น แต่ควรมองดูอนาคต อนาคตของคนที่ติดตามพระเยซูผู้ทรงชนะอำนาจแห่งความตายเป็นอนาคตที่พระองค์ทรงรับรองไว้แล้ว อจ.เปาโลบอกว่า เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบันไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย (โรม 8.18)
ถ้าเราจะวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม เราไม่ควรดำเนินชีวิตตามที่ตามองเห็นในเวลานี้ พระคัมภีร์บอกว่า เพราะเราดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น (2โครินธ์ 5.7) ถ้าเราปรารถนาจะได้รับเหรียญทองแห่งความเชื่อ เราควรวิ่งแข่งด้วยความพากเพียร และความเชื่อ
ถ้าเราจะวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม เราต้องคิดถึงพระเยซู พระเยซูไม่อยากให้เรารู้สึกท้อถอย แต่อยากให้เราบากบั่นมุ่งไปสู่ข้างหน้า สู่หลักชัย ในข้อ 3 ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย
3. จับตามองดูพระเยซู
หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผูทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์... (2ก)
เมื่อนักกีฬาวิ่งแข่ง ต้องมองดูจุดปลายทางตลอดเวลา เช่นเดียวกัน เมื่อเราวิ่งแข่งฝฝ่ายวิญญาณ เราจำเป็นต้องมองดูจุดปลายทางของเรา นั่นคือพระเยซู ทำไมเราต้องจับตามองดูพระเยซู ที่นี่พูดถึงสาเหตุ 2 ประการ ประการแรก เพราะพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อของเรา ทรงเป็นผู้เริ่มต้น ก่อตั้ง หรือนำความเชื่อของเรา
ประการที่สอง เพราะพระเยซูทรงเป็นผู้กระทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ เนื่องจากว่า พระเยซูได้ทรงอดทนต่อทุกอย่างและไปถึงจุดปลายทางอย่างสำเร็จ พระองค์ทรงสมบูรณ์ที่จะเป็นทางแห่งความเชื่อ พระองค์ทรงเป็นทางนั้นที่สมบูรณ์ที่จะนำเราไปในความเชื่อ
การจับตาองดูพระเยซู หมายถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซตั้วแต่ต้นตลอดไป เมื่อเราเป็นอันเดียวกับพระเยซูแล้ว ชัยชนะของพระองค์ก็เป็นชัยชนะของเรา
พี่น้องที่รัก ตั้งแต่วินาทีที่เราเชื่อพระเยซู เราได้เริ่มแข่งขันฝ่ายวิญญาณแล้ว ทุกคนกำลังวิ่งแข่งอยู่ ถ้าผู้ใดรู้สึกท้อถอย อยากจะหยุด หรือยกเลิก อย่าหลย เราเป็นผู้ที่ชนะและจะได้รับเหรียญทองแน่นอน คนที่ยกเลิกแล้ว หรือหยุดอยู่ ขอกลับมาวิ่งแข่ต่อไป
เมื่อเราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วยอยู่และบาปที่เกาะแน่นอยู่ วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม และจับตามองดูพระเยซูตลอดในการวิ่งแข่งฝ่ายวิญญาณ เหรียญทองแห่งความเชื่อนั้นเป็นของเรา ถึงเวลาแล้วพระองค์จะประทานแก่เราเมื่อเราจบการแข่งขันแล้ว ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกคนให้รับเหรียญทองแห่งความเชื่อ