ยอห์น 13.34 35
ครั้งหนึ่ง มีธรรมจารย์คนหนึ่งมาถามพระเยซูว่า ธรรมบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งปวง พระเยซูทรงตอบว่า ...จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง... (มก.12.28-31) แสดงให้เห็นว่า การที่เรารักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญมาก
เมื่อเราสังเกตพระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ ซึ่งปรากฎอยู่ในยอห์น 13.34-35 ก็พบได้ว่า มีวลีหนึ่งที่ได้ถูกใช้ถึงสามครั้ง นั่นก็คือ รักซึ่งกันและกัน ในข้อ 34 สองครั้งและในข้อ 35 อีกหนึ่งครั้ง เน้นถึงรักคน ซึ่งสอดคล้องกับคำตรัสของพระเยซูที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ควรเป็นคริสตจักรที่เชื่อฟังและปฎิบัติตามคำตรัสของพระองค์ ดังนั้น เช้าวันนี้จะเทศนาด้วยหัวข้อว่า คริสตจักรที่รักซึ่งกันและกัน
ความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดี หวาน ทุกคนชอบ ทุกคนรู้ดีว่า ควรรักซึ่งกันและกันในครอบครัว ในที่ทำงาน ในสังคม หรือในคริสตจักร แต่ในเชิงปฎิบัติ เราทุกคนก็ยอมรับว่า ไม่ค่อยง่าย แม้คริสเตียนเราก็ไม่แตกต่างกันมากเท่าไรนัก ถ้าคริสตจักรของเราจะเป็นคริสตจักรที่รักซึ่งกันและกันจริงๆ เราจำเป็นต้องเรียนสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็น สิ่งที่พระเยซูได้ทรงชี้ให้เห็นในข้อเหล่านี้มีเรื่องสำคัญสามประการ
1. พระบัญญัติใหม่
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน (ข้อ 34 ก) การที่เรารักซึ่งกันและกันเป็นบัญญัติใหม่ที่พระเยซูประทานให้แก่เรา ทำไมการรักซึ่งกันและกันเป็นบัญญัติใหม่
เมื่อพระเยซูตรัสว่า เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงเปรียบ เทียบกับบัญญัติเดิมในเรื่องมนุษยสัมพันธ์กัน เมื่อเราคิดถึงบัญญัติ เรามักจะคิดถึงธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานแก่อิสราเอลผ่านทางโมเสสบนภูเขาซีนาย จุดประสงค์ หรือบทบาทของธรรมบัญญัติ ก็คือให้รู้จักความบาป ชี้ให้เห็นถึงความผิดบาปที่ได้กระทำ ดังนั้น ด้วยมุมมองของธรรมบัญญัติ คนมักจะจับผิดของคนอื่นและลงโทษตามการกระทำผิดของคนนั้น เช่น เอาหินมาขว้างคนที่ดูถูกพ่อแม่ของตนหรือคนที่ล่วงประเวณี เป็นต้น
พระเยซูผู้ทรงทำให้ธรรมบัญญัตินั้นสมบูรณ์ทุกประการ ได้ทรงประทานบัญญัติใหม่ เมื่อเราอ่านยอห์นบทที่ 13.1 พระองค์ทรงทราบแล้วว่า อีกไม่นาน พระองค์จะจากโลกนี้ไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนตัวกับสาวก 12 คนเป็นพิเศษ เพื่อจะเตรียมพวกเขาสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิด คือการทรยศ การสิ้นพระชน์ การคืนพระชนม์ และการเสด็ดขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู พระองค์จะไม่อยู่กับสาวกของพระองค์อีกในลักษณะที่เคยอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาสามปี พระองค์จะจากโลกนี้ไปหาพระเจ้า แต่สาวกของพระองค์ยังอยู่ในโลกนี้ต่อไป ฉะนั้น พระองค์ทรงประทานวิธีที่พวกสาวกของพระองค์ควรปฎิบัติในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา วิธีนั้น คือรักซึ่งกันและกัน เป็นบัญญัติใหม่ซึ่งตรงกันข้ามกับบัญญติเดิม
ในคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู เราเห็นได้ว่า คนอิสราเอลได้ยินมาว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน แต่พระเยซูตรัสว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว คนอิสราเอลได้ยินมาว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู แต่พระเยซูตรัสว่า จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน (มธ.5.38-48)
การรักซึ่งกันและกันเป็นบัญญัติใหม่ เป็นทางใหม่ที่จะผูกมัดสาวกของพระเยซูให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหลังจากที่พระเยซูจากโลกนี้ไปหาพระเจ้าแล้ว เช่นเดียวกัน ไม่ใช่รักฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่การรักซึ่งกันและกันเป็นทางเดียวที่ได้ผูกมัดผู้เชื่อในชุมชนแห่งความเชื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
2. รักด้วยความรักของพระเยซู
เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น( 34 ข)
ในช่วงเวลาที่พระเยซูอยู่กับสาวกของพระองค์บนโลกนี้ พระองค์ทรงรักสาวกของพระองค์และคนอื่นๆด้วย ความรักที่พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นนั้นเป็นแบบอย่างแก่สาวกของพระองค์ที่จะรักซึ่งกันและกันต่อไปในขณะที่พระองค์ทรงไม่ได้อยู่กับพระองค์
พระเยซูทรงรักทุกคนโดยไม่ได้เลือกหน้าใคร พระเยซูทรงรักผู้หนึ่งผู้ใดไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนที่น่ารัก พระองค์ทรงรักคนที่ไม่น่ารักในสายตาของคนทั่วไป จนได้ทรงถูกเรียกว่า เป็นมิตรสหายของคนบาปและคนเก็บภาษี พระ องค์ทรงรักศัตรูของพระองค์ด้วยโดยการอธิษฐานเผื่อคนที่ตรึงพระองค์ที่กาง เขน พระองค์ผู้ทรงรักแม้ศัตรูได้ทรงบัญชาให้เรารักศัตรูของเราเช่นกัน จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน... แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ (มธ.5.44, 46)
นอกจากแล้ว พระเยซูทรงรักสาวกของพระองค์จนถึงที่สุด พระองค์ทรงทราบว่า ถึงเวลาที่จะจากโลกนี้ไปหาพระเจ้า ทรงทราบว่ามารซาตานได้ดลใจ ยูดาสอิสคาริโอทให้อายัดพระองค์ไว้ ทรงทราบว่าพระเจ้าพระบิดาได้ทรงประ ทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระบิดาและจะไปหาพระบิดา พระองค์ยังสำแดงความรักของพระองค์โดยการทรงล้างเท้าของสาวก พระเยซูผู้ทรงเป็นพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงล้างเท้าของสาวก แล้วพระองค์ตรัสว่า เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้วเพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย (ยน.13.15)
ยิ่งกว่านั้น พะเยซูได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์โดยที่พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่กางเขนเพื่อเรา อัครสาวกยอห์นได้สัมผัสความรักของระเยซูเช่นนี้ แล้วท้าทายเราว่า ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระ องค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง... อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่า นั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง (1ยน.3.16, 18)
คนที่ได้รับความรักของพระเยซูและเข้าใจ ก็จะรักคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน คนที่ซาบซึ้งในความรักของพระองค์มาก ก็จะรักคนด้วยความรักของพระองค์อย่างมากได้ เพราะความรักของพระองค์เป็นเหตุให้เรารักคนอื่นด้วย
3. เครื่องหมายของสาวกแท้ของพระเยซู
ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ใครเป็นสาวกของพระเยซู คงไม่ใช่คนที่บอกว่าตัวเองเป็นสาวกของพระองค์และไม่มีการปฎิบัติอย่างที่พระเยซูทรงวางแบบไว้ ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของสาวกแท้ของพระเยซู ก็คือรักซึ่งกันและกัน คริสตจักรแท้ คือคริสตจักรที่รักซึ่งกันและกันภายในจนได้ปรากฎภายนอกให้คนอื่นๆ เห็น เพราะเหตุนี้เอง การรักซึ่งกันและกนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะทำให้เกิดการฟื้นฟูคริสตจักรและให้คริสตจักรเพิ่มพูนทวีคูณ เมื่อเรานำคนหนึ่งคนใดมาโบสถ์ แต่เขาไม่เห็นที่เรารักซึ่งกันและกัน เขาคงมาโบสถ์ครั้งแรกครั้งเดียว แล้วก็ไม่มาอีก แต่เขาเห็นภาพที่เราทุกคนรักกันและกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง เขาคงมาอีกและอยากมาอีกแน่นอน เราต้องรักซึ่งกันและกันเพราะอะไร เพราะนี่เป็นบัญญัติใหม่ที่พระเยซูประทานให้ เราต้องรักซึ่งกันและกันด้วยลักษณะไหน เราต้องรักซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่พระเยซูทรงรักเรา เรารักซึ่งกันและกันแล้ว อะไรเป็นผลที่ตามมา ก็คือคนอื่นๆ รู้ว่าเราเป็นสาวกแท้ของพระเยซู ให้เราร่วมมือสร้างคริสตจักรของเราให้รักซึ่งกันและกัน อันแรกที่เราควรทำ ก็คือ อธิษฐานเผื่อคริสตจักร ให้เราอธิษฐานเหมือนที่เปาโลได้อธิษฐานเผื่อคริสตจักรเธสะโลนิกา ขอพระเป็นเจ้าทรงให้ท่านทั้งหลายจำเริญและบริบูรณ์ไปด้วยความรักซึ่งกันและกัน และรักคนทั้งปวง เหมือนเรารักท่านทั้งหลายดุจกัน(1ธส. 3.12) อธิษฐานให้คริสตจักรของเราจำเริญและบริบูรณ์ไปด้วยความรักซึ่งกันและกัน
อันที่สอง ให้เรารักก่อน แทนที่รอคอยให้คนอื่นมารักเรา เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน (1ยอห์น 4.19) พระเยซูทรงเรียกเราเพื่อให้เรารัก มิได้ทรงเรียกเราเพื่อให้เราได้รับความรักจากคนอื่นอย่างเดียว แล้วคริสตจักรของเราจะเป็นคริสตจักรที่รักซึ่งกันและกันได้