มาระโก 4.1-9
พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้เป็นคำอุปมาของพระเยซูคริสต์เรื่องผู้หว่านพืช มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช บ้างก็ตกที่หนทาง นกก็กินเสีย บ้างก็ตกบนพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย งอกขึ้นโดยเร็ว แต่เมื่อแแดดจัด แดดก็แผดเผาเสีย เพราะไม่มีราก บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็ปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอก เจริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้างและร้อยเท่าบ้าง ถึงแม้ว่าเมล็ดที่ตกที่หนทาง บนพื้นหินหรือกลางต้นหนามนั้น ไม่เกิดผล แต่เมล็ดที่ตกที่ดินดีได้เกิดผลอย่างน้อยสามสิบเท่า มากก็ร้อยเท่า มีตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่ได้หว่านแล้วเกิดผลร้อยเท่า ก็คือ อิสอัค พระคัมภีร์บอกว่า อิสอัคได้หว่านพืชในดินแดนนั้น ในปีเดียวกันก็เก็บผลได้หนึ่งร้อยเท่า พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ท่าน(ปฐก. 26.12)
นี่คือลักษณะเพิ่มพูนทวีคูณ คริสตจักรที่เพิ่มพูนทวีคูณเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เหมือนเมล็ดที่ตกที่ดินดีที่ได้เกิดผลร้อยเท่า เพราะว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นมา เพราะฉะนั้นคริสตจักรของเราต้องเพิ่ม พูนทวีคูณตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้มาเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้ เพื่อให้เราแต่ละคนร่วมมือสร้างคริสตจักรแห่งนี้ให้เพิ่มพูนทวีคูณ ทำอย่างไรจึงเพิ่มพูนทวีคูณได้ ขอให้เราจับตาของเรามอง ดูคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช ไม่ใช่เมล็ดทุกเมล็ดที่ชาวนานำไปหว่านนั้น เกิดผลได้ แม้เมล็ดทุกเมล็ดมีชีวิตก็จริง แน่ชัดว่าเมล็ดที่ตกในดินดีเท่านั้นงอกและจำเริญขึ้น แล้วเกิดผลได้ ไม่ใช่คริสตจักรทุกแห่งเพิ่มพูนทวีคูณได้ แต่คริสตจักรที่สร้างวัฒนธรรมที่ดีเท่านั้นจะเพิ่พูนทวีคูณได้ ให้เราสร้างวัฒนธรรมที่ดีในคริสตจักรของเรา
1. ให้เราสร้างวัฒนธรรมที่จะออกไปหว่านเมล็ด
วัฒนธรรที่ดีที่เราควรสร้างไว้ในคริสตจักรของเราก็คือ หว่านเมล็ด สิ่งที่น่าคิดก็คือ เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนประชาชนเป็นอันมาก พระองค์ได้สอนด้วยคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช เราจึงจำเป็นต้องออกไปหว่านพืช เหมือนชาวนาที่ได้หว่านพืชลง ไม่มีการหว่านพืช ก็ไม่มีการเก็บเกี่ยวข้าวด้วย
เราควรหว่านเมล็ดอะไร อจ.เปาโลบอกว่า ผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น (กท. 6.7ข-8)
เมล็ดที่เราควรหว่านนั้น เป็นข่าวประเสริฐของพระเยซู การหว่านเมล็ดแห่งข่าวประเสริญของพระเยซู ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐองพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยมนุษย์รอดพ้นจากกรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องการอยู่
ในช่วงนี้ ข้าพเจ้ากำลังกินยาจีนโบราณ มีคุณหมอจีนท่านหนึ่งซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่คุณปูได้แนะนำให้กับคุณบัวลอย และคุณบัวลอยบอกเรา เราจึงรู้จักคุณหมอท่านนั้น เมื่อฟังแล้วอยากไป แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ท้ายสุดเรานัดกับคุณบัวลอยที่โบสถ์ และพาเราไป ครั้งที่สองเราไปเองได้ และรู้สึกว่าดี เห็นผล เราจึงบอกมิชันนารีรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็อยากไป แต่ข้าพเจ้าอธิบายไม่ถูก จึงนับกับรุ่นพี่ที่บ้านของเราและพาไปเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา เมื่อพบคุณหมอจีนแล้ว รุ่นพี่บอกว่า ครั้งต่อไปจะพาสมาชิกอีกสามคนมาด้วย นี่คือการประกาศเชิงปฎิบัติ เรามั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและทรงเป็นความหวังของโลก เราจึงเล่าเรื่องของพระเยซูและนำคนมาหาพระเยซูเรื่อยๆ
เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ไม่ต้องกลัวว่า เขาอาจไม่เชื่อ เห็นไหมที่ชาวนาไม่กลัวว่า เมล็ดที่เขาหว่านนั้นจะตกที่ไหน เมื่อเราสังเกตดูนาของคนอิสราเอล ก็มีหนทางรอบๆนา มีกองหินบ้างและมีต้นหนามบ้าง แต่หน้าที่ของชาวนา ก็คือหว่านเมล็ด ฉะนั้น ตกตามหนทางบ้าง ตกบนพื้นหินบ้าง ตกกลางต้นหนามบ้าง แต่ส่วนใหญ่ตกที่ดินดี การประกาศของเราก็เช่น เดียวกัน เมื่อเราประกาศ มีบางคนอาจปฎิเสธ ไม่รับเชื่อ หรือต่อต้าน แต่ไม่ควรกลัวอะไรเลย เพียงแต่ทำหน้าที่ของเรา คือเล่าเรื่องของพระเยซูให้ทุกคนฟัง
อีกประการหนึ่งที่เราควรนึกเสมอในการประกาศ คือ ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูให้คนมากมายฟังเท่าที่เราทำได้ ยิ่งมากยิ่งดี พระคัมภีร์บอกว่า นี่แหละคนที่หว่านเล็กน้อย ก็จะเกี่ยวเก็บเพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก (2 คร.9.6) เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกของพระองค์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา (มธ. 4.19) พระเยซูทรงตั้งเราแต่ละคนให้เป็นผู้หาคน หมายความว่าให้เรานำคนอื่นๆมาหาพระเยซู ดังนั้น เราควรนำคนมากมายมาหาพระองค์ เมื่อชาวประมงจับปลา ก็ใช้วิธีหลายอย่าง การประกาศและนำคนอื่นมาหาพระเยซูก็เช่นเดียวกัน ควรใช้วิธีต่างๆเท่าที่เราทำได้ เมื่อเราลงมือทำจริงๆ พระเจ้าทรงอวยพรเราให้เกิดผลมากอย่างน้อยสามสิบเท่า
แต่การประกาศคงไม่ง่าย ต้องอดทนและยอมเสียสละหลายอย่าง แต่เรามีความหวังที่จะเกี่ยวเก็บ คือ ช่วยคนให้รอด ดวงวิญญาณที่ได้รับความรอด นี่เป็นนิมิตและความหวังอันสูงของเรา พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน (สดด.126.5)
2. ให้เราสร้างวัฒนธรรมที่จะเกี่ยวเก็บข้าวที่สุกแล้ว
วัฒนธรรมที่ดีที่เราควรสร้างไว้ในคริสตจักรของเราอีกประการหนึ่งก็คือ การเกี่ยวเก็บ ไม่มีชาวนาคนหนึ่งคนใดที่ออกไปหว่านเมล็ดและไม่เกี่ยวเก็บ ชาวนาทุกคนมีความปรารถนาที่จะเกี่ยวเก็บข้าวอย่างมากเท่าที่เก็บได้ ตามที่คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชได้บอกไว้แล้วว่า เมื่อเมล็ดได้ตกที่ดินดีแล้ว งอกงาม จำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง เมื่อชาวนาชาวไร่ออกไปหว่านเมล็ดแล้ว ไม่ใช่เกี่ยวเก็บได้ทันที คงใช้เวลา รอคอยด้วยการดูแลรดน้ำ รอคอยนานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเมล็ด พืชบางชนิดงอกขึ้นเร็ว จำเริญขึ้นเร็วและเกิดผลเร็ว บางชนิดช้านาน การประ กาศก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราประกาศ บางคนเร็วมาก มารับเชื่อพระเยซู ดูเหมือน ว่า เขากำลังรอคอยคนที่ไปบอกเขา บางคน พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว พระองค์ทรงให้เราไปประกาศ เช่น ที่เมืองฟีลิปปี พระเจ้าเตรียมสตรีคนหนึ่ง ชื่อนางลิเดียไว้แล้ว พระองค์ทรงให้เปาโลไปประกาศที่นั่น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ...(นางลิเดีย) เป็นคนที่ถือพระเจ้า หญิงนั้นได้ฟังเรา และพระเจ้าได้ทรงเปิดใจของเขาให้สนใจถ้อยคำซึ่งเปาโลได้กล่าว(กจ.16.14ข) พระเจ้าทรงให้เปาโลไปเกี่ยวเก็บทันที
บางคนช้ามาก เป็นสิบปี ยี่สิบปี สำหรับคุณพ่อของข้าพเจ้าเอง นับได้ว่า ประมาณกว่ายี่สิบปีได้ ที่รับเชื่อพระเยซู นับตั้งแต่เราอธิษฐานเผื่อคุณพ่อ เราไม่รู้ว่า คนที่เราประกาศนั้นพร้อมที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูเมื่อไร ไม่น่าหยุดเมื่อเราไปบอกเขาครั้งหนึ่งแต่ไม่มีการตอบสนอง ครั้งแรก เขาอาจไม่สนใจ แต่ครั้งที่สอง อาจเกิดความสนใจก็ได้ เราจึงควรประกาศ เป็นพยาน และอธิษฐานเผื่อเรื่อยๆ และควรหาโอกาสให้เขาฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู
เมื่อเรานึ่งมันเทศ หรือมันฝรั่ง บางลูกสุกเร็ว บางลูกสุกช้า เมือเราดูภาย นอก เราไม่รู้ว่า สุกแล้วหรือยัง คนเกาหลีมักจะใช้ตะเกียบ ถ้าแทงทะลุเข้าไปได้ แสดงว่า สุกแล้ว แต่ยังไม่ทะลุเข้าไป แสดงว่า ยังไม่สุก แล้วทำอะไรต่อไป ยกเลิกไหม ไม่ นึ่งต่อไปจนกว่าจะสุก เมื่อเราประกาศกับคนหนึ่งคนใด แต่ยังไม่เห็นท่าทีที่จะรับเชื่อพระเยซู แสดงว่ายังไม่สุก ไม่ควรยกเลิก แต่อธิษฐานเผื่อต่อไป และหาโอกาสที่จะนำมาหาพระเยซู
ข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ถูกประกาศในประเทศไทยมานานพอสมควร นับตั้งแต่มิชชันนารีโปรเตสตันท์เข้ามาเป็นครั้งแรกในปี 1828 ประมาณ 178ปีที่แล้ว ในช่วงแรก มิชชันนารีาฝรั่งมารับใช้ในประเทศไทย 19 ปี แล้ว ให้คนหนึ่งรับบัพติศมา เมื่อเราพูดถึงคริสตจักรของเรา เราได้ฉลองครบรอบ 18 ปีมาแล้ว กำลังก้าวสู่ 19 ปี ช่วงแรกนั้นเป็นฤดูหว่าน ช่วงนี้เป็นฤดูเกี่ยว ในตอนที่พระเยซูทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์ทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว(ยน.4.35) และพระองค์ทรงตรัสต่อไปว่า คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา(ยน.4.37ข-38)
มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง มีวาระหว่าน และมีวาระเกี่ยวเก็บ เวลานี้เป็นวาระเกี่ยวเก็บ แต่ปัญหาของเรา คือขาดคนเกี่ยวเก็บ พระเยซูตรัสไว้แล้ว่า ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระ องค์(มธ. 9.37-38) คนงานที่พระเจ้าจะส่งไปนั้น คือพี่น้องและข้าพเจ้า พระเจ้าทรงให้เรามาเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้ เพื่อให้เราเกี่ยวเก็บข้าวที่สุกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้นำ ผู้รับใช้ในคริสตจักร ไม่ว่าได้รับตำแหน่งใดก็ตาม ให้เราเชื่อฟังและยอมทุกอย่าง ออกไปเกี่ยวเก็บ นำคนที่พร้อมและรอคอยอยู่มาหาพระเยซูอย่างทันเวลา
เมื่อเราสร้างวัฒนธรรมที่ดีที่จะหว่านเมล็ด และเกี่ยวเก็บข้าวที่สุกแล้วพระเจ้าทรงอวยพรคริสตจักรเรา ให้เราออกไปประกาศเรื่องพระเยซู และนำคนมากมายมาหาพระเยซู พระองค์กำลังพร้อมและรอคอยที่จะอวยพรคริสตจักรเรา แล้วคริสตจักรของเราจะเพิ่มคนทวีคูณได้ และเราซึ่งเป็นสมาชิกของคริสตจักร จะเต็มล้นด้วยความชื่นบาน พระคัมภีร์ได้สัญญาไว้ว่า บรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็น นิตย์นิรันดร์(ดนย.12.3ข)