กาลาเทีย 5.22-23

          คริสเตียนบางคนอาจพอใจกับตัวเองหรืออวดตัวที่ตนไม่ได้ทำผิด เช่น ล่วงประเวณี หรือ ฆ่าคนอื่น แต่ควรคิดด้วยว่า คนอื่นเห็นคุณความดีงามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของตัวเองไหม คุณความดีในแง่ลบเท่านั้นไม่เพียงพอในชีวิตของชาวแผ่นดินสวรรค์ ต้องมีคุณความดีในแง่บวกด้วย คุณความดีในแง่บวกของคริสเตียนอย่างหนึ่ง คือความสุภาพอ่อนน้อม ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างที่แปด เป็นลักษณะพิเศษของคนที่บังเกิดใหม่จริงๆ
          คำว่า “ความสุภาพอ่อนน้อม”นั้น หมายถึงอะไร คนทั่วไปมักจะคิดว่า นิ่มนวล อ่อนโยน นิสัยที่ไม่ชอบแข็งกัน หรือสู้รบกัน แต่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงนิสัยเหล่านี้ซึ่งมีมาตั้งแต่เกิด แต่หมายถึงนิสัยที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เชื่อพระเยซูแล้ว ความสุภาพอ่อนน้อมคืออ่อนโยน นิ่มนวล แต่ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ หรืออ่อนแรง ความสุภาพอ่อนน้อม คือความแข็งแรงกับความอ่อนน้อมไปด้วยกันเป็นคู่กัน เป็นท่าทีแห่งการสำแดงกิริยาวาจานบนอบ แบบอย่างที่ดีของความสุภาพอ่อนน้อมในพระคัมภีร์ คือโมเสสและพระเยซู มีใครหรือที่จะบอกได้ว่า โมเสส หรือพระเยซูขาดสิทธิอำนาจ หรืออ่อนแอ ทั้งโมเสสและพระเยซู ดูเหมือนว่า อ่อนแรง ไม่มีอำนาจอะไรเลยต่อหน้าผู้มีอำนาจ แต่ตรงกันข้าม โมเสสได้ช่วยคนอิสราเอลให้รอดพ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระเยซูทรงช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากกรรม สติ ปัญญาเป็นการใช้ความรู้อย่างถูกต้องฉันใด ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นการใช้สิทธิอำนาจและพลังอย่างถูกต้องฉันนั้น
          ในพันธสัญญาใหม่ ความสุภาพอ่อนน้อมเกี่ยวข้องกับความรัก ความอดทน ความถ่อมใจ และการรักสันติ เพราะฉะนั้นเราควรหลีกเลี่ยงทะเลาะวิวาทกันในทุกกรณี พระเยซูผู้ทรงสุภาพอ่อนน้อมไม่เคยทะเลาะกับใครเลย ไม่ใช่เพราะขาดอำนาจ หรือเอาชนะไม่ได้ แต่ได้ทรงใช้อำนาจของพระองค์อย่างถูกต้อง เพื่อให้พระวจนะของพระเจ้าสำเร็จ คนที่ชนะในครั้งสุดท้ายเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ลักษณะคนที่สุภาพอ่อนน้อมเป็นอย่างไร

1. ไม่มีท่าทีที่จะได้ของทุกสิ่งที่อยากได้ในโลก
           เพราะรู้ว่า ของทุกสิ่งในโลกมีเจ้าของ อะไรเป็นลักษณะพิเศษของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่ไม่รู้จักพระเจ้านั้น อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาปรารถนาเท่าทีเขาทำได้ เขาถือว่า โลกนี้เป็นเหมือนที่ดินเปล่าที่ไม่มีเจ้าของ ดังนั้นเขามักจะคิดว่า ถ้าเขาพยายามทำเต็มที่ คงจะได้ทุกอย่างและจะประสบความสำเร็จ คนเหล่านี้คิดอย่างเดียว คือความสำเร็จ เขาใช้วิธีทุกอย่างเท่าที่เขาทำได้เพื่อความสำเร็จ ทะเลาะกัน แข็งขัน ทำสงคราม อิจฉาริษยา เกลียดชัง หรือฆ่ากัน เพื่อจะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อมารู้จักพระเจ้าแล้ว รู้ว่าทุกสิ่งในโลกมีเจ้าของ ถึงแม้เขาพยายามที่จะเอาหลายสิ่งหลายอย่างมาได้ แต่เขาจะเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ถ้าเป็นได้ ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับเด็กๆที่เล่นกัน ยึดดิน แต่เมื่อดวงอาทิตย์ตก เด็กเหล่านี้ก็ทิ้งทุกอย่างไว้แล้วกลับบ้าน พระคัมภีร์บอกว่า “ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของเขา”(สภษ.16.9)
         คนที่รู้จักพระเจ้านั้นเข้าใจว่า ถ้าไม่มีพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะก่อนที่รู้จักพระเจ้า มักจะคิดถึงพระเจ้าเป็นเหมือนเสือในรูปภาพ หรือเสือกระดาษ เขาคิดว่า พระเจ้าคงเป็นอย่างนี้อย่างโน้น แต่เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว เขาคิดว่า ตัวเองเป็นเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และตัวเองเล็กมากเหมือนผงคลีดิน ฐานะ ชื่อเสียง ปรีญญา เงินทอง ความสำเร็จ ไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นเท่ากับชีวิต ดังนั้นไม่มีความโลภที่จะเอาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คนเหล่านี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่า สุภาพอ่อนน้อม

2. ไม่ดำเนินชีวิตด้วยพลังของตน
             ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย คงไม่มีอะไรทำได้ จึงทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมรับว่า จะบำรุงชีวิตด้วยพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อมได้ คนที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็เคยดำเนินชีวิตตามอำเภอใจของตน ผลที่ตามมาคือไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า รู้ว่า ถ้าเขารับผิดชอบชีวิตของตนอีก ผลที่ตาม มา คือความพินาศอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุนี้ เขาอยากให้คนอื่นขับชีวิตของตนให้
            เมื่อโมเสสพบทูตของพระเจ้า ทูตให้โมเสสถอดรองเท้า การถอดรองเท้านั้น หมายความว่า เป็นทาสแล้ว พูดอีกนัยหนึ่งว่า “อย่าเดินไปตามอำเภอใจของเจ้า แต่จงเชื่อฟังพระเจ้าและเดินไปทางที่พระเจ้าให้ไป” เมื่อโยชูวาเข้าไปในแผ่นดินคานาอันเป็นครั้งแรก ทูตของพระเจ้าได้ปรากฎแก่โยชูวาโดยชักดาบออกมาถือ และพูดเหมือนที่เคยพูดกับโมเสส ว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” (ยซว. 5.15) แผ่นดิน คานาอันนั้นไม่ใช่เป็นแผ่นดินที่บริสุทธิ์ แต่เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยรูปเคารพและการล่วงประเวณี แต่ทูตของพระเจ้าบอกว่า บริสุทธิ์ ทำไม ด้วยกำลังของโยชูวาเท่านั้น ไม่สามารถเอาชนะความบาปเหล่านี้ได้ อาจถูกทดลองและหลงทำผิดได้ ทูตของพระเจ้าบอกให้ถอดรองเท้า หมายความว่า เมื่อฟังคำของพระเจ้าและทำตาม ถึงแม้ว่าอยู่ท่ามกลางความบาปหนักหนา แต่ไม่ถูกทดลอง และเอาชนะความบาปเหล่านั้นได้
            คิดอย่างไรว่า อะไรเป็นความสำเร็จในโลกนี้ บางคนอาจจะคิดว่า ความ สำเร็จนั้น คือเก็บเงินมากและได้รับการรับรองจากคนอื่น แต่ความสำเร็จจำเพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น คือชีวิตที่ไม่ได้หลงทำผิด รักษาความสัตย์สุจริตของตนในท่ามกลางคนที่พูดมุสาดุจทานข้าว และรักษาความบริสุทธิ์ของตนในท่ามกลางคนล่วงประเวณีและชั่วทั้งสิ้น ทำได้อย่างไร ด้วยกำลังของเราเอง เป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงรักษาเรา พระองค์ทรงรักษาความคิดและจิตใจของเราในทุกๆชั่วโมงอย่างอัศจรรย์ สิ่งที่อจ.เปาโลพูดเสมอ คือ “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (กท.2.20ข) คนที่ยอมรับเช่นนี้ และดำเนินชีวิตกับพระเจ้าเสมอด้วยการขอความช่วย เหลือ เป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม

3. ไม่มีท่าทีที่จะแก้แค้นคนอื่น
           คนส่วนใหญ่เอาดาบซ่อนไว้ในจิตใจเพื่อจะแก้แค้น เพราะคิดว่า เมื่อคนอื่นดูถูกดูหมิ่นตนครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะดูถูกตนเรื่อยๆไป ดังนั้นภายนอก เขาทำท่าเป็นเหมือนคนนิ่มนวล อ่อนน้อม แต่ภายใน เขาคิดที่จะแก้แค้นทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่คนที่สุภาพอ่อนน้อมไม่ได้ชักดาบออกมาถือยืนหน้าคนอื่นเลย เพราะรู้ว่าตัวเองทำผิดต่อพระเจ้ามากมายเหลือเกิน ถ้าพระเจ้าถือความผิดบาปเช่นเดียว กับคนส่วนใหญ่คิด ตัวเองสมควรที่จะตาย ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่คงตายหลายครั้ง ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้แล้วว่า มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปไม่ว่าคนที่เชื่อหรือคนที่ไม่เชื่อก็ตาม ความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อนั้น คนที่เชื่อเป็นคนบาปที่รู้และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่คนที่ไม่เชื่อเป็นคนบาปที่ไม่รู้และไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป
           บางครั้งเรารู้สึกโกรธต่อความผิดของคนอื่นได้ แต่จริงๆแล้ว เราไม่รู้จักเขาทั้งหมด เรารู้แต่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น เขาอาจไม่ดีต่อเรา แต่เขายังเป็นคนดีต่อ คนอื่นๆก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะกล่าวโทษเขา จริงๆแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษคนอื่นเลย พระเยซูไม่ทรงให้เรากล่าวโทษคนอื่นๆ การกล่าว โทษคนอื่นนั้นเป็นเหมือนที่เรานั่งบนพระที่นั่งของพระเจ้าแทนพระองค์ และยอมให้พระเจ้าทรงกล่าวโทษเราในวันพิพากษา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรกล่าว โทษและแก้แค้นคนอื่นๆ แต่เลื่อนไปและมอบให้กับพระเจ้าผู้ทรงตัดสินทุกอย่างด้วยความยุติธรรม  คนเหล่านี้ไม่บ่นว่าพระเจ้า หรือบ่นว่าคนอื่นๆ ไม่ได้แสดงความไม่พอใจกับพระเจ้า ไม่รู้สึกผิด หวัง หรือหมดหวัง เพราะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้า คนที่ทำเช่นนี้แหละ เป็นคนสุภาพอ่อนน้อมที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
           พี่น้องที่รัก พระเจ้าทรงเลือกเราทุกคนให้เป็นชนชาติของพระองค์ เราจึงควรเป็นคนที่บริสุทธิ์และเป็นที่พระเจ้าทรงรัก เราเป็นที่บริสุทธิ์และเป็นที่ทรงรักได้ก็ต่อเมื่อเราสวมใจปราณี ใจถ่อมและใจอ่อนสุภาพ เมื่อเราดำเนินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงโปรดให้เราเกิดผลแห่งความสุภาพอ่อนน้อม
          เราไม่ควรพยายามที่จะเกิดผลแห่งความสุภาพอ่อนน้อมด้วยตัวเอง แต่เราควรสำแดงความสุภาพอ่อนน้อม ซึ่งเป็นผลที่เกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คนทั้งปวงเห็นโดยไม่ทะเลาะวิวาทกัน แต่แสดงอัธยาศัยไมตรีดีงาม แล้วเราจะได้ใจของคนนั้น เพราะความสุภาพอ่อนน้อมเป็นฤทธิ์อำนาจที่จะเอาชนะทั้งโลก ถึงแม้ลมแรงมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ไม่สามารถที่จะทำให้คนถอดเสื้อกันหนาวได้ แต่แสงแดดที่อบอุ่นทำให้คนถอดเสื้อออกได้ เฒาเป็นสัตว์ที่มีน้ำหนักไม่หนัก แต่คงไม่มีใครที่จะดึงคอของมันออกได้ มีวิธีเดียวที่จะทำให้คอของมันออกได้ ก็คือนำมันไปใกล้เตาไฟที่อบอุ่น มันออกคอของมันเอง ความอบอุ่น ดูเหมือนไม่มีพลัง แต่พลังอยู่ภายใน เช่นเดียวกัน ความสุภาพอ่อนน้อมมีฤทธิ์อำนาจที่จะเอาชนะใจของคนได้ สิ่งที่หนักมากที่สุดในโลกก็คือจิตใจของคน วิธีที่ดีที่สุดที่จะประกาศกับคนในครอบครัว ไม่ว่าเป็นสามี หรือ ภรรยา พ่อแม่ หรือลูกๆก็ตา ก็คือความสุภาพอ่อนน้อม ขอให้เราสำแดงความสุภาพอ่อนน้อมของเราให้คนอื่นเห็น