ReadyPlanet.com
dot
dot
แจ้งเพื่อรับข่าวสารจากเรา

dot
dot
ทีรันนัสดอทคอม
dot
bulletสารจากผู้อำนวยการ
bulletประวัติทีรันนัส
bulletติดต่อเรา
bulletแผนที่
bulletสมุดเซ็นเยี่ยม
bulletข่าวสารจากทีรันนัส
dot
หนังสือแยกเป็นหมวดหมู่
dot
bulletหมวด คริสเตียนศึกษา
bulletหมวด การเทศนา
bulletหมวด อธิบายพระคัมภีร์
bulletหมวด คู่มือศึกษาพระคัมภีร์
bulletหมวด ชีวิตคริสเตียน
bulletหมวด เพิ่มพูนคริสตจักร
bulletหมวด การสร้างสาวก
bulletหมวด การประกาศ-มิชชั่น
dot
สำนักพิมพ์ ทีรันนัส
dot
bulletสมัครเป็นสมาชิก
bulletสมัครเป็นผู้แทนจำหน่าย
bulletหนังสือใหม่ล่าสุด
bulletหนังสือขายดีติดอันดับ
bulletหนังสือพิมพ์ซ้ำ
bulletวิธีสั่งซื้อสินค้าจากเรา
bulletศูนย์รับแจ้งสินค้ามีปัญหา
bulletแนะนำร้านหนังสือคริสเตียน
dot
Phon Phaiboon Church
dot
bulletคำเทศนาของศิษยาภิบาล
bulletข่าวสารจากคริสตจักร
dot
เว็บอื่นๆ
dot
bulletLink ลิ้งค์ไปเว็บคริสเตียน
bulletwww.thaichristians.net


องค์การ gpinternational
สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย
เว็บข่าวสารคริสเตียนไทย ทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่แบ่งแยกคณะ บทความ  คำเทศนา  เรื่องสั้น  บทกลอน  แจกโฮมเพจเพื่อคริสตจักรในท้องถิ่น.... ฟังคำเทษนาออน์ไลน์  ลิ้งค์ไปเว็บต่างของคริสเตียนทั่วโลก   แหล่งซื้อขายของคริสเตียน  สิ่งดีๆที่คุณไม่ควรพลาดในเว็บไทยคริสเ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย
คริสตจักรพรไพบูลย์


เทศนาเรื่อง ผู้เชื่อที่รอคอย article

 
ฮาบากุก 2.1-3
            ฮาบากุก แปลว่า การสวมกอดหรือในคำกริยาภาษฮีบรู แปลว่า ประสานมือ หรือโอบอุ้ม 
ฮาบากุกรับใช้พระเจ้าในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโอยาคิม  ฮาบากุกเป็นผู้เผยพระวจะที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ได้ป่าวประกาศถึงข่าวสารของพระเจ้าต่อประชาชน  แต่ฮาบากุกสนทนาโต้ตอบกับพระเจ้าเกี่ยวกับประชาชน ผู้เผยพระวจนะคนอื่นป่าวประกาศถึงการพิพากษาของพระเจ้า แต่ฮาบากุกวิงวอนขอการพิพากษาของพระเจ้า 
           ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกได้เริ่มเขียนถึงข่าวสารแห่งความหวังและการหนุนใจ สำหรับประชากรของพระเจ้า แม้ว่าจะเกิดความสงสัย และสับสนในยามที่ความบาปแพร่ระบาด แต่การได้พบพระเจ้าสามารถเปลี่ยนความสงสัยให้กลายเป็นความศรัทธา และเปลี่ยนความสับสนให้เป็นความเชื่อมั่น
           หนังสือฮาบากุกเริ่มต้นด้วยการไต่ถามข้อกังหาต่อพระเจ้า แต่จบลงด้วยการทูลวิงวอนต่อพระเจ้า ความกังวลถูกเปลี่ยนไปเป็นการนมัสการ ความกลัวกลายเป็นความเชื่อ ความหวาดระแวงกลายเป็นความไว้วางใจ ความสิ้นหวังกลายเป็นความหวัง และความปวดร้าวใจแสนสาหัสมลายกลายเป็นการเทิดทุนบูชา  สิ่งที่เริ่มต้นด้วยการสงสัยกลับจบลงด้วยความอัศจรรย์ใจ คำตอบ ต่อคำถามของฮาบากุก ที่ขึ้นต้นด้วย คำว่า  “เหตุไฉน” (why?)  ก็คือใคร (who?) ความว้าวุ่นใจของเขา ถามว่า “ทำไมจึงมีแต่ความสับสนอลหม่าน  แต่ความสับสนนั้นก็ได้รับการเยียวยาด้วยความเข้าใจ ที่ว่าใครเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์ทั้งสิ้นและผู้นั้นก็คือ พระเจ้า

          จอร์จ มูลเลอร์  เจ้าของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า  อธิษฐานด้วยความเชื่อทูลขอต่อพระเจ้าในการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจำนวนถึง 2,000 คน โดยไม่เรี่ยไรเงิน แบบสถานสงเคราะห์ทั่วไป วันหนึ่งขณะที่เด็กๆได้มาล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารเย็น แต่โต๊ะอาหารกลับว่างเปล่า  ไม่มีอาหารเลย  จอร์จ นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะเชิญชวนให้เด็กอธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร เด็กพากันแปลกใจ แต่จอร์จบอกว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาหารให้เอง ให้ทุกคนอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าด้วยกัน หลังจากอธิษฐานเสร็จก็มีเสียงเคาะที่ประตู จอร์จ ไปเปิดประตู พบคนขับรถบรรทุกแซนวิชจำนวนมาก พวกเขาบอกว่าคนงานที่บริษัทให้ส่งแซนวิชอาหารเที่ยงนี้มาที่สถานเด็กกำพร้า  คนขับรถบรรทุกนั้นถามว่าจอร์จว่า ที่นี่ต้องการแซนวิชสำหรับเด็กๆหรือไม่  จอร์จตอบว่ากำลังรออยู่พอดี  พร้อมกับบอกกับเด็กๆว่า พระเจ้าไม่เคยมาสาย
          
พระเจ้าให้เกียรติกับคนที่ประพฤติตามคำสอน และเชื่อวางใจในพระองค์ ให้เรา กล้าที่จะทูลขอต่อพระเจ้า ในสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยความเชื่อวางใจ ด้วยความเชื่อในพระเจ้า อย่าสงสัยในความดีงามของพระเจ้า อย่าสงสัยความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า และย่าสงสัยในคำอธิษฐานของเรา แต่ให้มีความเชื่อ  ในพระคัมภีร์ มัทธิว  21.22 กล่าวว่า “สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานด้วยความเชื่อ ท่านจะได้”
         ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราจะเป็นผู้เชื่อที่รอคอยได้อย่างไร? 
         จากพระวจนะของพระเจ้า อาบากุก 2.1-3 ได้ชี้ให้เราเห็นถึง “ลักษณะ”  ผู้เชื่อที่รอคอยได้อย่างน้อย 3 ประการ ต่อไปนี้

ลักษณะประการที่ 1 มีความอดทนนาน (ข้อที่1)
           “ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่ ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์ เกี่ยวด้วยการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร ?”   ฮาบากุกได้รับสมยานามว่าเป็นผู้เผยพระวจนะแห่งการพูดคุยอธิษฐานสนทนาโต้ตอบกับพระเจ้า   ฮาบากุกอดทนรอคอยต่อเรื่องอะไรบ้าง? 
           ฮาบากุกทนต่อการรอคอยคำตอบจากพระเจ้า  ฮาบากุกทนต่อการที่ต้องเห็นความชั่วของบาบิโลนและยูดาห์  ฮาบากุกทนต่อการที่ยูดาห์ถูกทำลายจากบาบิโลน และการทะเลาะวิวาทกัน  ฮาบากุกทนต่อโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจ คือ การที่ประชากรเฉยเมยต่อพระบัญญัติของพระเจ้า   ทนดูคนอธรรมล้อมรอบคนชอบธรรม  ในบทที่1 .3 กล่าวว่า “ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ เห็นการชั่วและมองเห็นความยากลำบาก ทั้งการทำลายและความทารุณก็อยู่หน้าข้าพระองค์ การวิวาทและการทุ่มถียงกันก็เกิดขึ้น”  นี่เป็นคำถามที่ฮาบากุกได้ถามพระเจ้าว่า ทำไม?  แล้วพระเจ้า ก็ได้ตอบและอธิษฐาน ให้ฮาบากุกได้รู้และเข้าใจมากขึ้น ถึงแผนการของพระเจ้า  ที่ทรงใช้บาบิโลนโจมตียูดาห์   เพราะว่ายูดาห์ไม่ได้เป็นคนชอบธรรม อย่างที่ฮาบากุกมอง และยูดาห์เองก็เป็นคนบาปคนชั่ว ไม่แตกต่างจากบาบิโลนตรงไหนเลย
 ดังนั้นพระเจ้าจึงตั้งบาบิโลนเป็นแส้ของพระองค์ไว้เพื่อกาการตีสอนยูดาห์ ให้สำนึกผิดเพื่อให้ยูดาห์หันกลับมาพึ่งพาพระเจ้ามากยิ่งๆขึ้น  ฮาบากุกมีเคล็ดลับในการอดทนนานด้วย.... 
         1.1  เฝ้าดู    คำว่า เฝ้าดู นี้ เปรียบเหมือนยามที่คอยดูแลความปลอดภัยทุกๆอย่าง คอยสังเกตการณ์ ว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้าง ?   ฮาบากุกคอยเฝ้าดูด้วยความอดทน ด้วยการไว้วางใจในพระเจ้า  แม้ว่าจะมีความมืดมิดเกิดขึ้นก็ตาม แต่ฮาบากุกเมื่อได้รับคำตอบจากพระเจ้าแล้วฮาบากุกไม่ได้ที่จะทุรนทุรายที่จะทำบางสิ่งบางอย่างก่อนพระเจ้า
           มีตายายคู่หนึ่ง มีอาชีพเย็บรองเท้า มีฐานะยากจน เพราะว่าค่าตัดเย็บรองเท้าของตายายคู่นี้มักจะได้รับค่าจ้างไม่เป็นธรรม   วันหนึ่งตาได้สังเกตเห็นว่า หนังที่จะใช้ตัดเย็บกำลังจะหมด รู้สึกท้อใจว่า ถ้าวันนี้ หนังที่เหลือพอจะมาตัดรองเท้าหมด และค่าจ้างที่จะรับมักไม่ยุติธรรม ดังนั้นตาจึง ตัดหนังชิ้นหนึ่งที่เหลือ เตรียมที่จะเย็บเป็นรองเท้าในรุ่งขึ้น     แต่แล้วในตอนเช้า ตาก็พบกับความประหลาดใจ ที่หนังที่ตัดเพื่อเตรียมเย็บนั้นได้กลายเป็นรองเท้า ที่สวยงาม เมื่อนำไปขายที่ตลาด ก็ได้รับเงินมามากกว่าทุกครั้ง ตาจึงถามยายว่า “ยายเป็นผู้เย็บรองเท้าคู่นั้นหรือ?” แต่ยายตอบว่า “ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยมา เมื่อทุกครั้งที่เตรียมหนังไว้ สำหรับเย็บรองเท้าในรุ่งขึ้น จะพบว่ารองเท้าได้เสร็จเรียบร้อยก่อนทุกครั้ง    จนกระทั่งครอบครัวของตายายได้ร่ำรวยขึ้น ทั้งตาและยายไม่สบายที่ไม่มีโอกาสขอบคุณผู้ที่มีพระคุณ   ตาเสนอความคิดเห็นว่า ในคืนนี้เราจะเฝ้าหนังที่เราเตรียมเอาไว้ และคอยดูว่าใครนะที่เป็นผู้เย็บรองเท้าให้เรา  ดังนั้นตาและยายจึงไปซ่อนตัว และตายายก็ประหลาดใจ เมื่อเห็นคนแคระมาตัดเย็บรองเท้าให้ 
            เรารับพระคุณและสันติสุขมาจากพระเยซูคริสต์ เราเฝ้ารอคอยที่จะได้พบและขอบคุณพระองค์หรือไม่ ?
         1.2  ฟังดู  การฟัง คือ การนิ่ง  เงียบ  สงบ  ตั้งใจ  จดจ่อ ในสิ่งที่อยากรู้อยากเห็น เพื่อจะได้ยินชัดเจนมากยิ่งขึ้น  การฟังมากก็เข้าใจมาก ฟังน้อยก็เข้าใจน้อย  ในพระธรรมสดุดี 46.10 กล่าวว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก”  และในพระธรรม ยากอบ 1.19 กล่าวว่า “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด”   ฮาบากุกจึงได้ฟังดูว่าพระเจ้าจะตรัสอะไรกับท่านบ้าง เพื่อฮาบากุกจะสามารถที่จะตอบพระเจ้าถึงความทุกข์ใจของฮาบากุกกับพระเจ้า
          เมื่อหลายศตวรรษที่แล้ว เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า ซามูเอล  มีเสียงเรียกเขาถึง 4 ครั้ง  ในขณะที่ซามูเอลนอนอมยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าทรงได้เรียกซามูเอล และซามูเอลก็ทูลตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่อยู่นี่ เขาจึงวิ่งไปหาเอลี ว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพนเจ้า แต่เอลีตอบว่าไม่ได้ ซามูเอลก็กลับไปนอนอีก และก็มีเสียงเรียกซามุเอลอีกเป็นครั้งที่สอง ซามูเอลก็วิ่งไปหาเอลีและถามว่า ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ เอลีก็ตอบว่า ไม่ได้เรียก ซามูเอลกลับไปนอนฝ่ายซามูเอลยังไม่เคยรู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้ายังไม่เคยสำแดงให้ซามูเอล และเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงเรียกครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเอลีอีก ถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ? เอลีตอบว่าไม่ได้เรียก และเอลีก็รู้ว่า พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล เพราะฉะนั้นเอลีจึงจึงพูดกับซามูเอลว่า จงไปนอนเสียเถิด  ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า  พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้พระองค์คอยฟังอยู่ซามูเอลจึงไปนอนในที่ของตน  และพระเจ้าเรียกซามูเอลเป็นครั้งที่ สี่ ซามูเอลจึงตอบพระเจ้าตามคำแนะนำของเอลี และพระเจ้าก็ตรัสให้  กับซามูเอลรับรู้เรื่อง ที่พระเจ้าจะทำ  (1ซมอ.3.1-15)
           พี่น้องทั้งหลายให้เราเรียนรู้ในการที่ฟังเสียงของพระเจ้า ถ้าเราไม่นิ่ง และเราจะไม่รู้เสียงของพระเจ้า ว่าเป็นเสียงอย่างไร และเราอาจจะตัดสินใจผิดๆก็ได้ ขอพระเจ้าช่วยเหลือฝึกฟังเสียงของพระเจ้า ด้วยการใคร่ครวญพระคำพระเจ้า ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อฟังของพระเจ้า
          ในพระธรรม ฮีบรู 3.7-8 “เหตุฉะนั้นตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสว่า วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้นอย่างในครั้งกบฏนั้น เหมือนอย่างในวันที่ทดลองในทุรกานดาร”

ลักษณะประการที่ 2. มีความเชื่อฟัง  (ข้อที่ 2 )
           “และพระเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง”
             ฮาบากุกเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้เขียนนิมิตนั้นลงไป ฮาบากุกก็เขียนลงไป และฮาบากุกพร้อมที่จะนำข่าวไปสู่ประชาชนด้วย ฮาบากุกได้เป็นแบบอย่างในการรอคอยพระเจ้า  ฮาบากุกเมื่อได้ยิน อาบากุก
         2.1 ลงมือทำตาม  เราจะเห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เมื่อเรามีการลงมือทำสิ่งนั้นมักจะเกิดผลตามมา และเป็นไปได้ แต่ถ้าเราฟังและไม่ได้ทำตาม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  
         
ในพระธรรมมัทธิว 7.24-27 ได้เปรียบเทียบรากฐานสองชนิด ผู้ที่ได้ฟังได้ยินคำของพระเจ้าและทำตาม ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนผู้ที่มีสติปัญญา ได้สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา เมื่อพายุฝนตกน้ำไหลเชี่ยวเรือนนั้นก็ตั้งมั่นคง คือชีวิตผู้เชื่อเมื่อได้ฟังได้ยินได้อ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความเชื่อฟังคำของพระเจ้า ชีวิตความเชื่อของเราจะไม่หวั่นไหวเลย เมื่อมีปัญหาประดังเข้ามาในชีวิตเรา ความเชื่อของเราจะไม่สั่นคลอนแคลนไป  รากฐานชนิดที่ สอง คือผู้ที่ได้ฟังได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแล้วแต่ไม่ทำตาม เขาเปรียบคนโง่เขลาที่สร้างเรือนของตนไว้บนหาดทรายเมื่อมีพายุฝนตกหนัก น้ำไหลเชี่ยว บ้านหลังนั้นก็พังทลายลง ตั้งมั่นคงไม่ได้ เพราะรากฐานไม่แข็งแรง เช่น เดียวกันกับชีวิตผู้เชื่อ ถ้าไม่มีการเชื่อฟังที่ทำตามแล้วไม่สามารถยืนหยัดได้เลย 
          เราควรดำเนินชีวิตโดยเชื่อฟังและประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้า ในเวลาที่ความเชื่อยังมีค่าและเป็นสิ่งเสริมสร้างกันและกัน
         2.2 จดจำเอาไว้  ในปลายข้อที่ 2 บอกว่า “เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง” ในพระธรรม ดกว. 15.40  “เพื่อว่าเจ้าจะจดจำและกระทำตามบัญชาทั้งสิ้นท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่าพันไว้ในจิตใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ในมือของท่านเป็นหมายสำคัญและจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน”  
         การจดจำข้อพระคัมภีร์ของพระเจ้าเป็นการดีที่เราจะมีคำตอบให้แก่คนอื่นเมื่อเขาถามเรา  และเราสามารถที่จะตอบเขาได้   เราจำเพื่อเป็นคำตอบ  เราจำเพื่อเป็นการหนุนใจและสอนเราให้เรียนรู้ที่ทำตามสิ่งที่ถูกสิ่งที่ควร การจดจำได้กำไร การจดจำเป็นการเตรียมพร้อมอย่างหนึ่ง พร้อมทุกเมื่อ เมื่อมีคนถามเรา ว่า เรามีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด เราจึงจะมีคำตอบที่ถูกต้องให้เขาได้เข้าใจได้ (1เปโตร 3.15)

3. มีความเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้า (ข้อที่3)
           “เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็คงคอยสักหน่อยมันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก”
           น้ำพระทัยพระเจ้าหมายถึง สิ่งที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้ว หรือเหตุการณ์ที่พระเจ้ากำหนดแล้วว่าจะเป็นไปอย่างนั้น สิ่งดีเกิดขึ้นก็น้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เป็นเช่นนี้ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้ก็เป็นน้ำพระทัยที่ให้เป็นเช่นนั้น  ทุกสิ่งนั้นไม่ได้เป็นมาจากมนุษย์คนใดคนหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง หรือตัดสินเอง  ในพระธรรมกิจการ 22.14 กล่าวว่า “ท่านจึงกล่าวว่าพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงเลือกท่านไว้ ประสงค์จะให้ท่านรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ ให้ท่านเห็นพระองค์ผู้ชอบธรรม และให้ได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์”  เอเฟซัส 5.17 “เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร” 
            น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอะไรที่น่าชื่นชมยินดี  น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราได้รู้และเข้าใจแผนการของพระองค์ น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราไว้วางใจในพระเจ้าได้ ทำให้เรารู้ว่ามีผู้หนึ่งที่ควบคุมอยู่นั่นคือพระองค์เอง น้ำพระทัยทำให้เรายอมรับซึ่งกันและกัน และยอมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน    เหตุผลที่ฮาบากุกมีความเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้าได้?เพราะ.. 
         3.1 เพราะมันไม่มุสา   1ซมอ.15.29 “และผู้เป็นกำลังของอิสราเอล จะไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ ที่จะกลับใจไม่”   กดว. 23.19 “พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ลั่นวาจาแล้วจะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ?” 
             พระเจ้าไม่เคยที่จะพูดอะไรแล้ว ไม่ได้รักษาคำพูดของพระองค์เอง  พระเจ้าสัญญาอย่างไรและพระองค์ก็กระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างนั้น  ทุกอย่างพระเจ้ามีพระประสงค์สำหรับวาระของทุกสิ่ง ได้อย่างเหมาะสม และเจาะจง  สิ่งที่สำคัญคือพระเจ้ารักษาคำพูดของพระองค์ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้  และพระองค์ก็ทำสิ่งที่เที่ยงแท้เพื่อสำแดงให้มนุษย์ได้เข้าใจพระองค์และรู้จักกับพระองค์มากยิ่งๆขึ้น   
          3.2 เพราะมันไม่ล่าช้านัก   แผนการของพระเจ้าไม่ช้าเกินไป และไม่เร็วจนเกินไป   อสค.12.25-28 “แต่เราคือพระเจ้า จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริงพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
            ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียน บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างเราอาจจะดูล่าช้าเกินไปสำหรับเราหรือบางครั้งก็ไม่มีวี่แววให้เราได้รู้และเข้าใจเลย  แน่นอนผลที่ตามคือความสงสัย  ความเชื่อของเราที่เกิดความสิ้นหวัง แต่เราหารู้ไหมว่า  เพราะยังไม่ถึงเวลาของมัน   ยังไม่เหมาะสม  หรือยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดหรือยังไม่ใช่สิ่งยอดเยี่ยมที่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเราตามใจปรารถนาของเราในทันทีทันใด พระเจ้าของเรามักจะจัดเตรียมอะไรที่ยอดเยี่ยมไว้สำหรับผู้เชื่อที่รอคอยนานเสมอ เหตุฉะนั้นในพระธรรม ฟป. 4.6-7 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานการวิงวอนกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครอง จิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
            ดังนั้น ให้เรามีท่าที ของ "ผู้เชื่อที่รอคอย"  ด้วยการมีความอดทนนาน มีความเชื่อฟัง  และมีความเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า   ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรพี่น้องทุกๆท่าน





คำเทศนาเรื่อง สุขสันต์วันคริสตมาส article
คำเทศนา ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส article
คำเทศนาเรื่อง เหรียญทองแห่งความเชื่อ article
คำเทศนาเรื่อง ให้ทุกคนสรรเสริญพระเจ้า article
เทศนาเรื่อง รู้จักการขอบพระคุณ article
เทศนาเรื่อง เจ้ารักเราหรือ article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่มีสองปีก article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่มีชีวิตชีวา article
คำเทศนาเรื่อง จงมาดูและรีบไปบอก article
คำเทศนาเรื่อง คริสตจักรที่รักซึ่งและกัน article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่เพิ่มพูนทวีคูณ article
เทศนาเรื่อง ผล 9 อย่างของพระวิญญาณ article
เทศนาเรื่อง การรู้จักบังคับตน article
คำเทศนาเรื่อง ความสุภาพอ่อนน้อม article
คำเทศนาเรื่อง เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ article
เทศนาเรื่อง ความสัตย์ซื่อ article
เทศนาเรื่อง ความดี article
เทศนาเรื่อง การวางใจที่ได้รับพระพร article
เทศนาเรื่อง มารดาแห่งความเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ความปรานี article
เทศนาเรื่อง ความอดกลั้นใจ article
เทศนาเรื่อง สันติสุข article
เทศนาเรื่อง ความปลาบปลื้มใจ article
ท่าทีการรับใช้ที่พระเจ้าชอบพระทัย article
เทศนาเรื่อง จงอุตส่าห์สอนลูกหลานของท่าน article
ความรัก article
ผลของพระวิญญาณบริสุทธ์ article
เทศนาเรื่อง รู้จักพระเยซูที่เราเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ผู้ที่เราควรกลัว article
เทศนาเรื่อง แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้อง article
เทศนาเรื่อง มารดาแห่งความเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ถ้าการฟื้นจากตายไม่มี article
เทศนาเรื่อง จงเที่ยวหาผู้ที่หลงหาย article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่เต็มไปด้วยการขอบพระคุณ article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่จะพอใจ article
เทศนาเรื่อง รักพระเจ้าต้องรักพี่น้อง article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่ดีรอบคอบ article
เทศนาเรื่อง ฉันจะไปบอก article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 3 article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 2 article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ article
เทศนาเรื่อง ให้มีจิตใจปรองดองกัน article
เทศนาเรื่อง ความเชื่อที่เป็นแบบอย่างที่ดี article
เทศนาเรื่อง ท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้นำฝ่ายวิญญาณ article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่เข้มแข็ง article
คำเทศนาเรื่อง ให้เราเชื่ออย่างถูกต้อง article
sermon D 06 article
sermon C 06 article
sormon B 06 article
sermon A 06 article
new book
Headline
Headline
TEST TYRANNUS



Copyright © 2010 All Rights Reserved.