กาลาเทีย 5.22-23
ยอห์นบทที่ 15 ได้บอกว่า พระเยซูเป็นเถาองุ่น พระเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษา และเราเป็นแขนง พระเยซูตรัสเช่นนี้ด้วยพระประสงค์อะไร พระประสงค์ของพระองค์ คือ ชีวิตที่เกิดผล ในยอห์น 15.8 พระเยซูตรัสไว้ว่า พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา และตรัสอีกในข้อ 16ว่า ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลายและได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่... พระเยซูทรงปรารถนาให้เราเกิดผล เราเองก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่เกิดผล
พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ คือ กาลาเทีย 5.22-23 ได้พูดถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในยอห์นบทที่ 15 พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่น พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้ดูแลรักษา และคริสเตียนเราเป็นแขนง ในเรื่องนี้พระองค์ทรงเน้นอะไร อะไรเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงให้เราเข้าใจจากเรื่องนี้ นั่นคือ ชีวิตที่เกิดผล พระองค์ตรัสไว้ว่า พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา (ยน.15.8) เมื่อเราเกิดผลแล้ว พระเจ้าทรงได้รับเกียรติ และเราเป็นสาวกของพระเยซูที่แท้จริง และตรัสอีกว่า ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลายและได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่...(ยน.15.16) พระองค์ทรงเลือกและแต่งตั้งเราให้ไปเกิดผล ดังนั้น ตั้งแต่วินาทีที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตของเราต้องเป็นชีวิตที่เกิดผล เกิดผลอะไร ในวันนี้ อ.เปาโลกำลังพูดถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
1. ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรงกันข้ามกับงานของเนื้อหนัง
ข้อ 22 เริ่มต้นด้วยคำว่า ฝ่าย คำนี้แปลได้อีกคำหนึ่ง คือ แต่ ซึ่งเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ และมักจะปฎิเสธเรื่องที่กล่าวมาและเน้นเรื่องที่กำลังจะนำเสนอ อ.เปาโลกำลังเปรียบเทียบผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของเนื้อหนังในข้อที่ 19. เนื้อหนังกับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน หมายความว่า คริสเตียนเราเอาเท้าข้างหนึ่งวางไว้ในเนื้อหนังและเอาเท้าอีกข้างหนึ่งวางไว้ในพรวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ เราต้องเลือกทางหนึ่งทางใด ถ้าคนหนึ่งได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเข้าไปในผู้นั้นและทรงสถิตอยู่ในผู้นั้นตลอดเวลา แล้วเกิดผลของพระองค์ผ่านทางชีวิตเขา พูดอีกนัยหนึ่งว่า คริสเตียนเป็นคนที่ดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อก่อนนั้นดำเนินชีวิต ซึ่งเต็มไปด้วยงานของเนื้อหนัง เพราะดำเนินชีวิตตามความต้องการของเนื้อหนังและยอมให้เนื้อหนังได้ปก ครองชีวิตของตน แต่เดี๋ยวนี้ ได้เป็นคริสเตียนแล้ว คือ ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ปกครองชีวิตของตน จึงเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น
2. ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังแห่งชีวิตพื้นฐาน ไม่ใช่การกระทำ
เราไม่ควรพยายามที่จะเกิดผลดีด้วยตัวเอง แต่ควรพยายามที่จะเป็นต้นไม้ที่ดี เพราะเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลของเราเอง เรารู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
ต้นไม้ดี ผลก็ดี ต้นไม้เลว ผลก็เลว ต้นมะม่วงก็ออกลูกมะม่วง ต้นกล้วยก็ออกลูกกล้วย ถ้าเราอยากได้กล่วย เราก็ต้องปลูกต้นกล้วย ไม่ใช่ต้นมะม่วง
เราเป็นคริสเตียนที่ดีหรือไม่ ก็รู้ได้เมื่อเห็นผลที่เกิดจากชีวิตของเรา ถ้าเราเป็นคนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็เกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราเป็นคนฝ่ายเนื้อหนัง เราก็เกิดงานของเนื้อหนัง ดังนั้น เราควรสร้างชีวิตของเราให้ดี โดยการสร้างความสัมพันธิ์กับพระวิญญาณ พระเยซูตรัสไว้ว่า จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น (ยน.15.4)
3. ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ปรากฎภายในชีวิตก่อน แล้วปรากฎภายนอกชีวิต
การเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงการกระทำภายนอกบางสิ่งบาง อย่างเท่านั้น แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตภายใน คือเป็นคนที่พระเจ้าทรงให้เป็น เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างสารพัดทุกสิ่งด้วยพระดำรัสของพระองค์ ยกเว้นมนุษย์ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของพระเจ้า คือพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนพระองค์ แต่เมื่อมนุษย์ได้ทำบาปโดยไม่ได้เชื่อฟังพระองค์ ความเป็นพระฉายาของพระเจ้านั้นก็ได้สูญเสียไปจากมนุษย์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า(รม.3.23) พระเจ้าได้ทรงกำหนดเราไว้ให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ คือให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ถ้าเราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น เราก็จะเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นด้วย ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตภายใน และมากกว่าชีวิตทางศิลธรรม หรือทางศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่เน้นถึงชีวิตภายนอกเท่านั้น
4. ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หมายถึงความเป็นอันเดียวกันและความสามัคคี
ถึงแม้ว่ามีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 9 อย่าง แต่คำว่า ผลที่นี้ ใช้เป็นคำเอกพจน์ ไม่ใช่พหูพจน์ ก็หมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวและความสามัคคี รุ้งมีเจ็ดสี แต่มีรุ้งอันเดียวฉันใด ผลของพระวิญญาณบรสุทธิ์มีเก้าอย่าง แต่มีผลเดียวฉันนั้น ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ไม่มีผลหนึ่งผลใดอยู่โดดเดี่ยวได้ คนที่เต็มไปด้วยความรักก็มีความยินดีและกระทำความดีได้ เพราะผล เก้าอย่างทั้งหมดก็เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียว เมื่อเราจะเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา เราควรคิดถึง 3 อย่างดังต่อไปนี้
ก. เมล็ด
ถึงแม้ว่า เตรียมดินพร้อมแล้ว แต่ถ้าไม่มีการหว่านเมล็ด ก็ไม่มีการเกิดผล เมล็ดเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการเกิดผล ตามหลักธธรมชาติและหลักของพระเจ้า เราจะหว่านอะไรลง เราจะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนัง ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ (กท.6.7-8) เพราะฉะนั้น อย่าให้สิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังนั้นตกในจิตใจของเรา แต่ให้สิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณตกในจิตใจของเรา เพราะงานของเนื้อหนังนั้นไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์
ข. การตอบสนอง
ถึงแม้ว่าเมล็ดที่ดีได้ตกในจิตใจของเราแล้ว แต่ถ้าเราไม่รับเอา ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ในคำอุปมาของพระเยซูเรื่องผู้หว่านพืช เมล็ดที่ตกริมหนทาง ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน และตกกลางต้นหนามนั้นไม่เกิดผล เพราะดินเหล่านี้ไม่สามารถที่จะรับเมล็ดได้ แต่เมล็ดที่ตกในดินดีก็เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้างและร้อยเท่าบ้าง เพราะดินดีนั้นพร้อมที่จะรับเมล็ดไว้ได้ คนที่รับพระวจนะไว้ในใจและตอบสนองอย่างเต็มที่ก็ย่อมเกิดผล บางคนฟังพระวจนะด้วยหู แต่ไม่เปิดต้อนรับพระวจนะไว้ในจิตใจของตนก็เกิดผลไม่ได้ พระวจนะของพระเจ้าเข้าหูของเราข้างหนึ่งและออกไปทางหูอีกข้างหนึ่ง ทำให้ชีวิตคริสเตียนจำนวนไม่น้อยไม่เห็นผลอะไรในชีวิตของตน สิ่งสำคัญมากที่สุด คือท่าทีแห่งการฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเยซูทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชว่า ดินดีนั้นเป็นคนที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ ถ้าเราจะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ เราต้องเปิดจิตใจของเราและต้อนรับพระวจนะนั้นไว้ในจิตใจของเรา
ค. การเชื่อฟัง
เมื่อเมล็ดตกในจิตใจของเราและงอกขึ้นแล้ว เราจำเป็นต้องทกให้ชีวิตนั้นเจริญ เติบโตขึ้น หมายความว่า เราต้องเตรียมบรรยกาศให้เหมาะกับชีวิตนั้น เมื่อเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งต้นใด เรารู้ได้ว่า มีหลายสิ่งที่จำเป็นสำหรับต้นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำ ถ้าฝนไม่ตกหลายวันและเราไม่ได้รดน้ำ ต้นนั้นเริ่มมีอาการที่เหี่ยวแห้ง แต่เมื่อเรารดน้ำ ต้นนั้นได้กลับสู่สภาพเดิม มีชีวิตชีวา ถ้าต้นผลไม้ต้นหนึ่งต้นใดไม่เกิดผล แสดงว่าขาดบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเราเติมสิ่งที่ขาดไปให้ ต้นนั้นจะเกิดผล ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณเจริญเติบโตได้นั้น คือการเชื่อฟัง ลงมือทำ และปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง เมื่อชีวิตของเราเติบโตขึ้น ชีวิตของเราจะเกิดผลมากมาย
พระเจ้าประสงค์ให้เราเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมากมาย ดังนั้นเราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ควรสนองความต้องการของเนื้อหนัง เมื่อเราเกิดผลมาก พระเจ้าทรงรับเกียรติจากเรา และคนอื่นรู้ว่า เราเป็นสาวกของพระเยซู ขอพระเจ้าทรงอวยพรเราทุกคนให้เกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์