มัทธิว 16.13-17
เรามักจะได้ยินคำถามบ่อยๆว่า คุณนับถือศาสนาอะไร คำว่า นับถือ หมายถึง เชื่อถือ หรือ ยึดมั่น เมื่อเราเข้ามาในคริสตจักร เราได้ยินและพูดคำหนึ่งบ่อยมาก ก็คือ เชื่อพระเยซู นี่เป็นความจริงที่ว่า เราได้รับความรอดโดยความเชื่อในพระเยซู ไม่ใช่โดยการประพฤติของตนเอง ตามพจนานุกรม คำว่า เชื่อ หมายถึง เห็นตามด้วย
ความเชื่อก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือเนื้อหาของความเชื่อ เห็นตามด้วยอะไร ไม่ใช่เราเชื่อตามประสบการณ์ของเราเอง หรือเชื่อตามความรู้สึกของเราเอง แต่ต้องเชื่อตามความจริง เราเชื่อพระเยซูก็จริง แต่เชื่อพระเยซูเรื่องอะไร เราจึงจำเป็นต้องรู้จักพระเยซูผู้ที่เราเชื่ออย่างถูกต้องตามความจริง
พระเยซูทรงปรารถนาให้เรารู้จักพระองค์อย่างถูกต้อง พระเยซูพาสาวกของพระองค์ไปทิศเหนือของแคว้นกาลิลี ที่เรียกว่า เมืองซีซาเรีย ฟีลิปปี และถามพวกเขาว่า คนทั้งหลายพูดกันว่า บุตรมนุษย์เป็นผู้ใด สาวกก็ตอบตามที่ได้ยินมาว่า ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ... เอลียาห์ ... เยเรมีย์ .. หรือคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ คำตอบทั้งหมดเหล่านี้ไม่ถูก พระเยซูไม่อยากที่จะฟังคำตอบแบบนี้ พระองค์ทรงปรารถนาฟังคำตอบที่ถูกต้อง จึงถามสาวกของพระองค์โดยตรงว่า แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร เพราะสาวกของพระองค์ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมาแล้วเป็นเวลาประมาณสามปี
เปโตรได้ตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่... นี่เป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อของเปโตร ซึ่งเป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคำสารภาพแห่งความเชื่อทั้งหมด เป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อที่พระเยซูพอพระทัย จากคำสารภาพแห่งความเชื่อของเปโตร เราสามารถที่จะรู้จักพระเยซูผู้ซึ่งเราเชื่อได้สองประการ
1. พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
คำว่า พระคริสต์ เป็นภาษากรีกมีความหมายเดียวกันกับคำว่า พระเมสิยาห์ ในภาษาฮีบรู พระคริสต์ หรือ พระเมสิยาห์มีความหมายตามตัวอักษรว่า ผู้ถูกเจิมด้วยน้ำมัน แต่ความหมายตามบริบทนั้น คือ พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อเที่ยวหาและช่วยคนที่หลงหายให้รอด
พระเยซูทรงยอมเสียสละพระองค์เอง เพื่อให้คนบาปอย่างเราทุกคนได้รับความรอด เมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิด ผลมาก เมื่อเราย้อนกลับไปอ่านดูพระธรรมปฐมกาล เห็นได้ชัดว่า อาดัมกับเอวา บรรพบุรุษของมนุษย์ได้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ตาของเขาทั้งสองได้สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้ แล้วซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ พระเจ้าผู้ทรงเสด็จมาเยี่ยมเขาได้ทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้เขาทั้งสองสวมปกปิดกาย เพื่อจะได้หนังสัตว์ สัตว์ คงเป็นแกะจำเป็นต้องถูกฆ่าและเลือดไหลออก
พระเยซู พระเมษโปดกของพระเจ้าได้ทรงเสียสละและสิ้นพระชนม์ เพื่อจะรับความอายและความบาปของมนุษย์เรา เพราะพระองค์ทรงไหลพระโลหิต ความบาปของเราได้ถูกปิด และเราได้สวมเสื้อแห่งความชอบธรรมของพระองค์ เมื่อเราเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือพระคริสต์ ความเชื่อนั่นแหละทำให้เราได้รับความรอด พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคนทั้งโลก แต่เราต่างคนต่างต้องเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตนส่วนตัว เมื่อเราเชื่อพระเยซูผู้ทรงไหลพระโลหิตและสิ้นพระชนม์เพื่อจะยกโทษความผิดบาปของเราด้วยใจ และยอมรับด้วยปาก ก็จะรอด
เราต้องเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ในสมัยพระเยซู คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาต่างๆ มากมาย กราบไหว้รูปเคารพต่างๆ มีพระนับไม่ถ้วน จนมีพระเจ้าที่ไม่รู้จัก แต่พระเหล่านี้ไม่ใช่เป็นพระคริสต์ มีพระคริสต์เพียงองค์เดียว คือพระเยซู ดังนั้นความเชื่อที่เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์นั้น สำคัญมากจริงๆ ใครพูดอะไรก็ตาม เราควรยึดมั่น อย่าหวั่นไหว เราต้องเชื่อว่า พระเยซูเท่านั้นเป็นพระคริสต์ พระเยซูได้ทรงเตือนเราว่า ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่า ตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป(มธ.24.4-5) พระองค์ตรัสอีกว่า เหตุฉะนั้น ถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า พระคริสต์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ก็จงอย่าออกไป หรือจะว่า อยู่ที่ห้องใน ก็จงอย่าเชื่อ (มธ.24.26) พระคัมภีร์บอกว่า ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฎิเสธ ว่า พระเยซูมิใช่พระคริสต์... (1ยน.2.22) คริสเตียนสมัยแรกเชื่อมั่นว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ไม่ใช่เชื่ออย่างเดียวเท่านั้น แต่ ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆวันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ (กิจการ 5.42) พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
2. พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
คำว่า พระบุตรของพระเจ้า หมายถึง เป็นพระเจ้า ตามคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะในสมัยพันธสัญญาเดิม พระเมสิยาห์ผู้ที่จะมานั้น ไม่ใช่เป็นคนธรรมดา แต่เป็นพระเจ้า อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ว่า ...ท่านจะเรียกนามของท่าน (คือพระเมสิยาห์) ว่า ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช (อสย.9.6) ในพระคัมภีร์ มีหลักฐานมากมายที่ได้พูดถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระเยซูเองได้ทรงตรัสว่า เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยน.10.30) แม้ผีก็สารภาพว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ถึงกระนั้น ตั้งแต่สมัยพระเยซู ก็มีคนที่ปฎิเสธว่า พระเยซูเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้า พระคัมภีร์เรียกคนเหล่านั้นว่า ปฎิปักษ์ของพระคริสต์ ผู้ใดที่ปฎิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฎิปักษ์ของพระคริสต์ ผู้ใดที่ปฎิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา... (1ยน.2.22-23) ตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบัน ก็มีปฎิปักษ์ของพระคริสต์ตลอดเวลา และเมื่อถึงวาระสุดท้าย คนที่ไม่เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้ามีมากยิ่งขึ้น
ครั้งล่าสุด เท่าที่เราทุกคนทราบแล้วว่า มีคนหนึ่ง Dan Brown ได้เขียนหนังสือนวนิยายเล่มหนึ่ง ชื่อว่า The Da Vinci Code หนังสือเล่นี้พยายามยืนยันว่า พระเยซูไม่ใช่เป็นพระเจ้า แต่เพียงมนุษย์เท่านั้น โดยบอกว่า พระเยซูแต่งงานกับมารีย์ชาวมักดาลา และได้มีลูกด้วย หนังสือเล่มนี้ได้ถูกถ่ายเป็นหนังและได้ฉายทั่วโลก คนที่เขียนหนังสือและคนที่ทำเป็นหนังต่างทำเพื่อจะหาเงิน นี่เป็นความพยายามที่จะทำ ลายความเชื่อของคริสเตียนเรื่องเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระเยซู แต่ก็ไม่แปลกอะไรเลย เพราะอัครทูตเปาโลได้เตือนไว้เมื่อสองพันปีที่แล้ว
เปาโลให้ทิโมธีอยู่ที่เมืองเอเฟซัส และบอกว่า ...เพื่อท่านจะได้กำชับบางคนไม่ให้เขาสอนแปลกออกไป ... ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากกว่า...(1ทธ.1.3-4) พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อโดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร(4.1-2) เปาโลกล่าวอีกว่า ถ้าผู้ใดสอนผิดแปลกไป และไม่ยอมเห็นด้วยกับบรรดาพระวจนะที่ถูกต้องของพระเยซูคริสต์...และกับคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า เขาก็เป็นคนยโสและไม่เข้าใจอะไรเลย ... คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ (6.3-5, ฉบับมารฐาน 2000)
The Da Vinci Code เป็นเพียงหนังสือนวนิยายที่มนุษย์ก่อขึ้นเท่านั้น พยายามทำลายความเชื่อของคริสเตียน แต่หนังสือนวนิยายไม่สามารถเปลี่ยนประวัติได้ เพราะไม่เป็นความจริง อย่าให้มันล่อลวงท่านให้หลง แต่จงยึดมั่นไว้ในความจริง
พระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าและผู้ทรงเท่าเทียมกับพระเจ้าได้เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ นี่เป็นเนื้อหา เป็นหลักของความเชื่อของเรา เราเห็นตามด้วยเนื้อหานี้ พระเยซูทรงเป็นทั้งพระคริสต์และพระเจ้า เพราะเหตุนี้ คนมากมายทั่วโลกได้ถวายทรัพย์ ถวายของประทาน ถวายความ สามารถ และถวายชีวิตของตนแด่พระเยซูองค์นี้
รู้จักพระเยซูที่ท่านเชื่อแล้วหรือยัง เมื่อเรารู้แล้วว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด ขอ ให้เราสารภาพสิ่งที่เราได้ทราบ พระเยซูทรงปรารถนาให้เราสารภาพความเชื่อของเราอย่างถูกต้องตามความจริง เหมือนที่เปโตรได้สารภาพไว้ เมื่อเปโตรได้สารภาพเช่นนั้นแล้ว พระเยซูได้ทรงชมเชยเปโตรว่า ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ หวังอย่างยิ่ง ให้ทุกคนได้รับการชมเชยจากพระเยซูเช่นนี้
อาเมน