ข้อพระคัมภีร์ รูธ 1.15-18
เด็กหญิงแก้วอายุ 12 ขวบ ได้กลับใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เธออยากบอกให้ทุกคนในบ้านให้รู้จักกับพระเจ้า เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่พ่อของเธอไม่ชอบคริสเตียน แก้วจะถูกตบตีอย่างหนัก เมื่อพ่อทราบว่าเธอไปโบสถ์ แต่เธอก็ไม่ย่อท้อยินดีที่จะทำงานอย่างหนัก พ่อของแก้วหาทางที่จะให้แก้วทำงานอย่างหนักในวันอาทิตย์ เพื่อไม่ให้แก้วมีเวลาไปโบสถ์ แก้วเป็นคนดี ไม่โต้เถียง แต่จะบอกพ่อถึงเรื่องความรักของพระเจ้าอยู่เสมอ
วันหนึ่งพ่อได้พาทุกคนไปเกี่ยวข้าวที่นา วันนี้เป็นวันเสาร์ ทุกคนเกี่ยวจนเกือบเสร็จแล้ว แต่พ่อไม่ยอมที่จะเกี่ยวต่อ และบอกให้ทุกคนกลับบ้านได้ แก้วบอกว่า พ่อจ๋าเกี่ยวอีกนิดเถอะค่ะยังไม่ค่ำเลย ถ้าเราทุกคนช่วยกันเกี่ยวก็เสร็จแล้ว อุบ๊ะ !! บอกให้กลับยังจะพูดมากอีก วอนให้ถูกตีหรือไง น้องๆของแก้วก็บอกพ่อว่า พ่อจ๋าถ้าเราเกี่ยวอีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว แก้วสนับสนุนคำพูดของน้องทันที แทนที่พ่อจะดีใจ กลับกระชากแขนแก้วและตบที่ปากของแก้ว อย่างแรง แก้วล้มลงพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากปากเธอ ข้าบอกให้กลับบ้าน มีใครอยากจะลองดีอีกไหม? ทุกคนกลับบ้าน แม่ประคองกอดแก้วไว้ด้วยน้ำตาไหล เจ็บมั้ยลูก แม่สงสารลูกเหลือเกิน เล่าเรื่องพระเจ้าของลูกให้แม่ฟังก็แล้วกันนะจ๊ะ แก้ว กลับบ้านทำอาหารให้ทุกคนรับประทาน รุ่งเช้าแก้วแต่งตัวจะไปโบสถ์ พ่อเห็นเข้าจึงคำรามใส่แก้วอีกว่า อีแก้ว มึงยังจะไปโบสถ์อีกหรือ ? ยังไม่เข็ดอีกหรือ พร้อมกับคว้ามือของแก้ว แก้วร้องด้วยความเจ็บปวด โอยพ่อจ๋าแก้วเจ็บมือ อย่าตีแก้วเลย แก้วเจ็บ พ่อก้มดูเห็นมือแก้วเต็มด้วยบาดแผล และเลือดก็ไหลออกมาเพราะแรงบีบของพ่อ เอ็งไปทำอะไรมาหา ? เมื่อคืนแก้วกลับไปเกี่ยวข้าวที่นามันมืด แก้วเกี่ยวข้าวถูกมือแก้วเองจ้าพ่อจ๋า มึงโกหก ฉันจะไปดูที่นา ถ้ามึง โกหก ฉันจะเอาแกตายแน่นังแก้ว
เมื่อไปถึงที่นาพ่อมองดูเห็นข้าวเกี่ยวจนหมด แต่..ที่ฟ่อนข้าวทุกต้นนั้น เปื้อนด้วยเลือดของแก้วทุกฟ่อน พ่อหันมามองแก้ว ค่อยๆ จับมือลูกขึ้นมา ด้วยความทะนุถนอม และสำนึกผิด ถามลูก พลันน้ำตาก็หลั่งไหลออกมา เจ็บมั้ยลูก ? พ่อดึงแก้วมากอดไว้แนบอกด้วยความรัก และบอกแก้วว่า พ่อขอโทษนะ...แก้ว...ไปโบสถ์เถอะลูก แล้วพาเราทุกคนไปด้วย ทุกคนต่างก็กอดกันร้องไห้ด้วยความปีติยินดี
การตัดสินใจเด็ดขาดในการรับเชื่อพระเจ้าและต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา และเป็นกำไรชีวิต เป็นทางที่ถูกต้องควรจะเลือกเอาและติดตามไป
เราจะเห็นว่าเด็กหญิงแก้วได้อดทนต่อการขัดขวาง อดทนต่อต่อการถูกตี ข่มเหงจากพ่อของเธอ แต่เธอไม่เคยที่ย่อท้อในสิ่งที่พ่อของเธอห้ามเลย แล้วความอดทนและการตัดสินใจที่ถูกต้องของเธอได้ให้เราเห็นผลดีมากมายตามมา นั่นคือ ความชื่นชมยินดี ที่เธอได้รับ
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราควรจะมีแบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องได้อย่างไร ?
จากพระวจนะของพระเจ้า รูธ 1.15-18 ได้ชี้ให้เราเห็นถึง เคล็ดลับ แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องของรูธได้อย่างน้อย 3 ประการดังต่อไปนี้
เคล็ดลับประการที่ 1. รูธละทิ้งวิถีชีวิตเก่าเสีย (15-16ก)
คำว่า ละทิ้ง นี้หมายถึง การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไม่คิดเสียดาย หรือกลับมาสนใจมันอีก
ในพระธรรม 2 โครินธ์ 5.17 กล่าวว่า เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แหนะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น สิ่งเก่าๆของรูธก็ล่วงไป สิ่งเก่านั้นหมายถึง ตอนที่รูธยังไม่แต่งงานกับชนชาติของพระเจ้า รูธดำเนินวิถีชีวิตตามธรรมเนียมชนชาติของตัวเอง แต่ นี่แหละกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น หมายถึงชีวิตใหม่ของรูธเมื่อมาแต่งงานกับลูกชายของนาโอมี หรือชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อรูธเองได้รับการเปลี่ยนแปลง รูธก็ได้ละทิ้งสิ่งต่อไปนี้
ก. ละทิ้งชนชาติของตน ชนชาติที่ไม่เป็นคริสเตียน ชนชาติที่ไม่รู้จักกับพระเจ้า ในข้อที่ 15 นาโอมีจึงว่า ดูซิ พี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปหาชนชาติของเขา และหาพระของเขาแล้ว จงกลับไปตามพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด นาโอมีพยายามคะยั้นคะยอให้รูธกลับไปเหมือนกับพี่สะใภ้ของตน แต่การตัดสินใจกลับไปของพี่สะใภ้ของรูธไม่ได้ดึงดูดความสนใจของรูธที่จะกลับตามวิถีเดิมเลย
ข. ละทิ้งการกราบไหว้รูปเคารพที่ไม่มีชีวิต รูปเคารพมีตาแต่มองไม่เห็น รูปเคารพมีหูแต่ฟังไม่ได้ รูปเคารพมีปากแต่พูดไม่เป็น รูปเคารพมีจมูกแต่ไม่สามารถดมได้ นี่คือสิ่งที่รูธได้ละทิ้งอย่างสิ้นเชิง เพราะรูธเห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุด ตัวอย่าง วิถีชีวิตของชนเผ่าม้ง เป็นชนเผ่าหนึ่งที่รักในการกราบไหว้ผี บูชาผี ฆ่าหมู เป็ดไก่ถวายให้ผี เพื่อรับพระพรลมๆแล้งจากผี ยอมเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา นี่คือวิถีชีวิตของชนเผ่าม้งที่ไม่มีประโยคอันใดเลย
ค. ละทิ้งการเห็นแก่ตัวที่จะมีครอบครัวใหม่ หรือแต่งงานใหม่อีกครั้ง เพราะรูธเห็นแก่คนอื่น เห็นแก่ความต้องการที่แท้จริงในส่วนลึกของคนอื่น รูธพร้อมที่จะอยู่เป็นเพื่อนนางนาโอมี รูธเองเข้าใจว่า นาโอมีเองก็คงว้าเหว่ไม่แพ้กัน จากการที่ว่าลูกชายทั้ง 2 คนและสามีได้จากโลกนี้ไปแล้ว ความชอกช้ำใจเกิดขึ้นกับทุกคนได้ รูธเข้าใจความเจ็บปวดใจของนาโอมี รูธไม่ได้ทำเพื่อตัวรูธเองแต่รูธกำลังทำเพื่อผู้ที่มีความต้องการอย่างแท้จริงของนาโอมี คือ อยากมีใครสักคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง พร้อมทั้งเป็นเพื่อนและรับฟัง
แต่สำหรับนาโอมีแล้ว นางเห็นการแต่งงานของรูธนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นในสมัยนั้น และถ้ารูธอยู่แผ่นดินโมอับ การแต่งงานใหม่ย่อมมีโอกาสมากกว่าที่รูธจะติดตามแม่สามีไปยังแผ่นดินอิสราเอล ในข้อ 12 นาโอมีบอกว่า นางแก่เกินไปที่จะแต่งงานใหม่และมีบุตรชายให้ แล้วถ้ามี รูธจะอดใจรอได้หรือ ? นี่คือเหตุผลของนาโอมีที่พยายามคะยั้นคะยอให้รูธอยู่แผ่นโมอับดีที่สุดแล้ว
แต่รูธได้ตัดสินใจเด็ดขาดเลือกทางที่ถูกต้อง ทางที่ดี ทางที่ควรจะเดินไป เหมือนเรื่องในพันธสัญญาใหม่ ที่พระเยซูได้ชมเชยมารีย์ว่า มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดแล้ว คือ เลือกที่จะนั่งฟังพระเยซูเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งไม่มีใครแย่งเอาไปจากเธอได้เลย (ลูกา 10.38-42)
รูธเองก็ได้ละทิ้งสิ่งจอมปลอมที่ไม่จีรัง มารับเอาสิ่งแท้และนิรันดร์ คือพระเจ้าของนาโอมีให้เป็นพระเจ้าของตัวเองด้วยเพื่อจะได้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวกับนาโอมี
พี่น้องทั้งหลายในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราได้ละทิ้งสิ่งขัดขวางอะไรในชีวิตของเราบ้าง ขอพระเจ้าช่วยเหลือเรา หากเรายังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังเป็นรูปเคารพในใจเรา ให้เราละทิ้งอย่างไม่คิดถึงมันอีก และรับสิ่งที่ที่ดี คือ พระเยซูคริสต์มาทดแทนสิ่งนั้น
แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องในเคล็ดลับประการที่ 2
2. รูธยอมรับที่จะร่วมทุกข์รวมสุขกับชนชาติของพระเจ้า ( 16ข )
ในข้อ 16 กล่าวว่า แม่จะไปไหน ฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะญาติของฉัน คำตอบของรูธแสดงถึงคำตอบที่เด็ดขาด เป็นคำตอบที่ให้ความมั่นใจกับตัวเองและเป็นคำตอบที่ให้ความเชื่อถือได้ในคนอื่น และเป็นคำตอบที่ไม่โลเลที่จะเลือกทางอื่นอีก
รูธยอมรับที่เดินร่วมทางกับนาโอมี ทั้งๆที่รูธเองก็ไม่รู้ว่านาโอมีจะไปยังไง อย่างไร ? รูธยินดีเดินทางร่วมในทางที่ที่ยุ่งยาก รูธยินดีอาศัยอยู่ที่ที่ลำบาก พร้อมที่จะเผชิญกับคนที่ตัวเองไม่รู้จักมาก่อน พร้อมจะปรับตัวในวัฒนธรรมอีกวัฒนธรรมหนึ่งและวิถีการดำเนินชีวิตร่วมกับชนชาติที่ไม่ใช่ชนชาติของตัวเอง แม้ว่าจะยากในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง แต่รูธยอมเรียนรู้ที่จะเลือกเดินในทางที่ถูกต้อง
ตัวอย่าง ประเทศเกาหลีเป็นประเทศเล็กๆประเทศหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเขาในการร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ยอมทำงานหนักด้วยกัน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ สิ่งหนึ่งๆที่ประเทศชาติของเขาสร้างขึ้นมาได้สำเร็จนั้น เห็นได้ชัดเจน เช่น ตึกพระวิหารที่นมัสการสำเร็จได้ด้วยคุณภาพที่ดีงามต้องอาศัยการร่วมทุกข์ร่วมสุขยินยอมอดทนต่อความยากลำบาก และฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกัน และผลแห่งการยอมทนทุกข์ นั้น คือ พระคุณและพระพรที่พระเจ้าประทานให้
รูธก็เช่นเดียวกัน การที่รูธเองตัดสินในวันนี้ที่ยอมร่วมทุกข์ร่วมร่วมสุขกับนาโอมี พระเจ้าอวยพรรูธภายหลังจริงๆ รูธได้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ ดาวิด
แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องในเคล็ดลับประการที่ 3
3. รูธตัดสินใจเด็ดขาดติดตามพระเจ้าเที่ยงแท้ (16 ค )
"พระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของฉัน รูธกล้าพูดด้วยความมั่นใจว่า พระเจ้าของนาโอมีจะเป็นพระเจ้าของรูธ
รูธเลือกที่จะนมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ รูธเลือกที่จะสรรเสริญยกย่องพระนามของพระเจ้า และปรนนิบัติพระเจ้าของนาโอมี
การติดตามพระเจ้าเที่ยงแท้และการ เชื่อในพระเจ้าของรูธ เป็นการหันกลับจากความผิดบาปของรูธที่สมบูรณ์ที่สุด เราจะเห็นถึงการลับใจของรูธ.....รูธหันกลับจากการปรนนิบัติพระเจ้าเทียมเท็จ มาปรนนิบัติพระเจ้าแท้ รูธหันกลับจากความเชื่อลมๆแล้งๆมาเชื่อในพระเจ้าอย่างมีความหวัง รูธหันกลับจากการกราบไหว้รูปเคารพที่ไร้วิญญาณมานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ รูธหันกลับจากการไว้วางใจในพระเจ้าที่ช่วยไม่ได้มาพึ่งพาพระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ให้รอด รูธจึงตัดสินใจเด็ดขาดมาเชื่อพระเจ้าแท้และยอมติดตามไปอย่างเอาจริงเอาจัง
ตัวอย่าง ข้าพเจ้าประทับใจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ได้ไปดูงานที่คริสตจักรประเทศเกาหลี พวกเราได้ไปนมัสการคืนวันศุกร์กับคริสตจักรแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเกาหลีใต้ คือ คริสตจักรโมกโพชุนเฮียง ของ ศจ กึน ชิล ยัง คริสตจักรเริ่มนมัสการพระเจ้า 4 ทุ่ม มีผู้คนมานมัสการพระเจ้าทั้งวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้อาวุโส จำนวนไม่มากนัก เป็นภาพที่นมัสการที่ข้าพเจ้าประทับใจมาก ข้าพเจ้าเห็นถึงการนมัสการของเขา อย่างสิ้นสุดจิตสุดใจจริงๆ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่สามารถนมัสการพระเจ้าในภาษาเดียวกับเขาก็ตาม แต่ข้าพเจ้าสัมผัสและรู้สึกว่าตัวเองได้นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง ข้าพเจ้ามีความสุขมากในค่ำคืนนั้น และในขณะเดียวกันข้าพเจ้าสังเกตเห็นหญิงอาวุโสท่านหนึ่งอายุประมาณ 90 ปี ยังเดินเข้ามาเพื่อที่จะนมัสการพระเจ้า เพื่อฟังพระคำพระเจ้า เพื่ออธิษฐานเผื่อประเทศชาติ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านได้เลือกส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตของท่าน ซึ่งใครๆไม่สามารถเอาไปจากท่านได้เลย ท่านไม่มีคำบ่นใดที่ต้องอ้างว่า ดึกแล้วไม่ไป หนาวเย็นทนไม่ไหว แก่มากแล้วเดินไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามท่านได้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนแม้จะต้องเอาชีวิตของตนมาแลก
พี่น้องทั้งหลายเราจะเห็นถึงการที่คนๆหนึ่งที่ตัดสินใจติดตามพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้ติดตามเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่เขาได้ติดตามพระเยซูคริสต์ตลอดชีวิตของเขาและติดตามอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นภาพหนึ่งที่สวยงามและซาบซึ้งนัก นั่นคือ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีจริงๆ ยากที่จะบรรยายได้
ขอท้าทายพี่น้องให้เราเลือกทางที่ถูกต้อง ทางที่ควรเดินไปนั่น คือ ทางเดียวของพระเยซูคริสต์ ที่เราควรจะยึดเอาไว้ในจิตใจของเราตลอดไป ในพระธรรม ยอห์น 14.6 ได้กล่าวว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา พระเยซูทรงประสงค์ให้เราใช้สติปัญญาของเราในการเลือกเดินทางของพระเยซู คือทางที่ถูกต้อง ทางที่เราควรจะเดินไปและติดตามจนวันตาย
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราควรมีแบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องเพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นโดยการ มานมัสการพระเจ้าเมื่อเป็นเวลาของการนมัสการ มาอธิษฐานต่อพระเจ้า เมื่อเป็นเวลาของการอธิษฐาน มาเรียนพระคัมภีร์เมื่อเป็นเวลาของการเรียนพระคัมภีร์ นี่คือแบบอย่างชีวิตของคริสเตียนที่เลือกเดินทางที่ถูกต้องและแท้จริง
พี่น้องคะ จากพระวจนะของพระเจ้า รูธ 1.15-18 ได้ชี้ให้เราเห็นถึง เคล็ดลับ แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้องของรูธอย่างน้อย 3 ประการดังต่อไปนี้
(1.) รูธละทิ้งวิถีชีวิตเก่าเสีย (15-16ก)
(2.) รูธยอมรับร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชนชาติของพระเจ้า (16ข)
(3.) รูธตัดสินใจเด็ดขาดติดตามพระเจ้าแท้ (16ค)