1 โครินธ์ 15.12-19
ตามประเพณีของคริสเตียนในสมัยยุคแรก เมื่อพบกัน ก็ทักทายกันและกันว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูได้ทรงถูกตรึง สิ้น พระชนม์ที่กางเขน เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สาม คือวันอาทิตย์นี้ พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ การสิ้นพระชนม์ที่กางเขนและการฟื้นขึ้นมาจากตายเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดในความเชื่อของคริสเตียน ทูตสวรรค์ได้ประกาศแก่บรรดาผู้หญิงที่ มาหาอุโมงค์ฝังศพของพระเยซู ผู้หญิงเหล่านี้ไปประกาศแก่สาวกของพระองค์ สาวกของพระองค์ได้ออกไปประกาศการคืนพระชนม์ของพระเยซูทั่วโลกจนปัจจุบันนี้
ถึงอย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนไม่เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย มีชายคนหนึ่ง ชื่อ ลู เวลลิส์ เขาคิดแล้วคิดเล่า แต่เชื่อไม่ได้ว่า พระเยซูได้ตายแล้ว ได้ฟื้นขึ้นจากตายในวันที่สาม เขาอยากจะแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า คริสเตียนที่เชื่อและติดตามพระเยซูไปนั้นโง่เขลาจริงๆ และอยากพิสูจน์ว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยความเท็จ เขาจึงเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ ในขณะที่ศึกษาพระคัมภีร์อยู่ เขาได้พบพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย แล้วในที่สุดเขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นภาพยาตร์ที่มีชื่อดังและให้การประทับใจทั่วโลก คือ เบนเฮอร์
ในสมัยพระเยซู คณะสะดูสีเป็นคณะที่บอกว่า เชื่อธรรมบัญญัติของโมเสส แต่ไม่เชื่อการฟื้นขึ้นมาจากตาย เช่นเดียวกัน ในปัจจุบัน มีบางคนบอกว่า เชื่อพระวจนะของพระเจ้า แต่เรื่องการฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะว่า เรื่องการฟื้นขึ้นมาจากตายนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา และไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้น แต่ละยุคแต่ละสมัยมีคนที่บอกว่า การฟื้นขึ้นจากตายนั้นไม่มี แม้ในสมัยเปาโลก็ไม่แตกต่างกัน เปาโลจึงเขียน บทนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า บทแห่งการฟื้นขึ้น โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อ 12 ถึงข้อ 19 เปาโลแสดงความมั่นใจว่า มีการฟื้นขึ้นมาจากตายแน่นอน โดยถามว่า ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี จะเป็นอย่างไร ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี
1. พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ (13)
ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่
เปาโลได้ย้ำอีกครั้งหนึ่งในข้อ 15 ข -16 ว่า ...แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้ เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นผลแรกสำหรับคนทั้งปวง ข้อ 21 ของบทเดียวกันนี้ เปาโลบอกว่า เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น
มีหลักฐานมากมายว่า พระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว หินก้อนใหญ่ถูกกลิ้งออกไป อุโมงค์ว่างเปล่า คำพยานของทูตสวรรค์ ซากวัตถุของพระเยซู
การปรากฎของพระเยซูทั้ง 14 ครั้งในระยะเวลา 40 วัน เป็นต้น
2. การประกาศข่าวประเสริฐก็ไม่มีหลัก (14 ก)
ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก เมื่อเราอ่านพระธรรมกิจการ บรรดาอัครสาวกของพระเยซูเป็นพยานเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยใจกล้า ในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรเทศนาว่า ...ท่านทั้งหลายได้ให้คนอธรรมจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้พระองค์คืนพระชนม์ด้วยทรงกำจัดความเจ็บปวดแห่งความตายเสีย เพราะว่าความตายจะครอบงำพรองค์ไว้ไม่ได้ (กจ. 2.23-24) ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน และซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คืนพระชนม์... (4.10) เปาโลก็เทศนาเรื่องเดียวกันว่า แต่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ (13.30) การเทศนาของบรรดาอัครสาวกนั้นมีหลักมั่นคงแน่นอน เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
3. ความเชื่อของคริสเตียนก็ไร้ประโยชน์ (14 ข)
ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย ในข้อ 18 ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์... ถ้าสิ่งที่เราเชื่อนั้นไม่จริง ความเชื่อของเราก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
แต่ความเชื่อของเรามีหลัก เป็นประโยชน์มาก นำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พาเราเข้าไปในสวรรค์ เพราะพระเยซูได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว
4. เรากลายเป็นพยานเท็จ (15)
และคนก็จะเห็นว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมา (ฉบับมาตรฐาน 2002)
ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า บรรดาอัครสาวกได้ประกาศและเทศนาด้วยใจกล้าว่า คนอิสราเอลได้ตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขน แต่พระเจ้าทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ฉะนั้นถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี อัครสาวกกลายเป็นพยาเท็จ เพราะประกาศเรื่องที่ไม่เป็นความจริง แต่อัครสาวกได้เป็นพยานอย่างสัตย์ซื่อโดยไม่กลัวมนุษย์คนใด เพราะได้เป็นพยานเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นในประวัติ
5. เราก็ยังตกอยู่ในบาป (17 ข)
ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็ได้รับการไถ่บาป พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้น พระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม(โรม 4.25) เราได้เป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ ได้เป็นคนบาปอีก เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
6. คนที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไป (18)
และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย ข้อนี้เกี่ยวข้องกับ ข้อ 19 อย่างใกล้ชิดมาก คนที่ล่วงหลับไปในพระคริสต์หมายถึง คนที่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ตายไป ถ้าคนเหล่านี้พินาศไป คริสเตียนเราเป็นคนที่น่าสังเวชจริงๆ
แต่พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา คนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมากอ่น (1 ธส.4.16)
7. เราเป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุด (19)
ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงแค่ในชีวิตนี้ เราก็เป็นพวกน่าเวทนาที่สุดของคนทั้งหมด (ฉบับมาตรฐาน 2002) ถ้าชีวิตคริสเตียนเราจบเพียงในโลกนี้เท่านั้น เราเป็นคนที่น่าสังเวชที่สุดจริงๆ เพราะว่าชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตที่ชั่วคราวและไม่แน่ นอน เมื่อเราตายแล้ว ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลกก็ไร้ประโยชน์ คนที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ยังมีความสนุกสนานในโลกนี้ ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี คนที่ไม่เป็นคริสเตียนคงจะดีกว่าเราที่เป็นคริสเตียน
แต่ชีวิตของเราจะไม่จบเพียงในโลกนี้เท่านั้น เรามีความหวังในโลกหน้า ที่เรียกว่าแผ่นดินสวรรค์ และเรามั่นใจว่าบ้านถาวรของเราอยู่ที่นั่น เพราะพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เราจึงมีความสุขมากที่สุดไม่ใช่ในโลกหน้าเท่านั้น แต่ในโลกนี้ด้วย
ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตายตามคำสัญญาของพระองค์ ศาสตราจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ชื่อ อนอลด์ โทอินบีได้เป็นพยานหลังค้นคว้ามานานแล้วว่า ข้าพเจ้าใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้าศึกษาประวัติในอดีต พิสูจน์เอกสารที่ได้บันทึกไว้และซากวัตถุโบราณ ความจริงที่สมบูรณ์และชัดเจนมากที่สุดในประวัติมนุษย์ที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบ ก็คือ ความจริงที่พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์ แล้วได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย
การฟื้นขึ้นมาจากตายเป็นรากพื้นฐานของความเชื่อของคริสเตียน เมื่อรากถูกพังลง บ้านหลังนั้นทั้งหมดก็ถูกพังลงด้วยฉันใด ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี คงไม่มีความเชื่อคริสเตียนฉันนั้น ดังนั้นขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยใจเชื่อมั่นว่า พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และให้เป็นชาวสวรรค์ที่ให้ความสว่างแก่ผู้ที่อยู่ในความมืด ให้ความชื่นชมยินดีแก่ผู้ที่ประสบความโศกเศร้า และให้ความมั่นใจแก่ผู้ที่สงสัย เพราะนี่เป็นชีวิตที่ดำเนินโดยฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์