2 ทิโมธี 1.1-5
หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้แล้ว สถาบันแห่งแรกที่พระองค์ทรง สถาปนาขึ้นนั้น คือครอบครัว ครอบครัวเป็นชุมชนที่บิดา มารดาและลูกๆ ดำ รงชีวิตอยู่ร่วมกัน เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของสังคมมนุษย์ พระคัมภีร์ได้เอาคริสตจักรมาเปรียบเทียบกับครอบครัวของพระเจ้า ดังนั้นครอบครัวเป็นชุมชนแห่งความเชื่อ เมื่อครอบครัวเข้มแข็ง คริสตจักรก็เข้มแข็ง ยิ่งกว่านั้น สังคมและประเทศชาติก็เข้มแข็งด้วย ครอบครัวของเราในวันนี้เข้มแข็งพอมั้ย
สมาชิกของครอบครัวแต่ละคนก็มีบทบาท บทบาทของแต่ละคนในครอบครัวก็สำคัญ แต่บทบาทและอิทธิพลของมารดานั้นสำคัญยิ่งกว่าคนอื่น โดย เฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิพลของมารดาที่ส่งผลต่อลูกๆนั้น สำคัญมากทีเดียว เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก เข้าใจกันว่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเด็กๆนั้น คือ ไอคิว(I.Q.) แต่ต่อมาภายหลัง มักจะพูดกันว่า สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ อีคิว (E.Q.) ตามรายงานของนักวิชาการ ไอคิวเป็นส่วนของบิดา และอีคิวเป็นส่วนของมารดา การศึกษาในด้านไอคิวก็สำคัญ แต่การศึกษาในด้านอีคิวยิ่งสำคัญกว่า
ตามสถิติ คนยิวเป็น 0.2 % ของคนทั้งโลกเท่านั้น แต่ 20% ของคนที่ได้รับรางวัลโนเบลเป็นคนยิว และ 30% ของศาสตร์อาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกาเป็นคนยิว นี่เป็นผลการสอนลูกในครอบครัว บุคคลสำคัญในการสอนลูกในครอบครัวของคนยิว ก็คือมารดา
พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ได้แนะนำมารดาผู้หนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดียอดเยี่ยม คริสตจักรเราเพิ่งจัดค่ายเด็กรวีในฤดูร้อนและได้เสร็จสิ้นลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านไป ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงการสอนเด็ก ทำอย่างไรเราสร้างเด็กเหล่านี้ ให้เติบโตอย่างเข้มแข็งได้ ก็ต้องคิดถึงบทบาทของมารดา ดังนั้นในเช้าวันนี้ ข้าพเจ้าเทศนาด้วยหัวข้อว่า มารดาแห่งความเชื่อ
การที่เปาโลได้ประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้าได้นั้น ก็มีปัจจัยหลายประการ ประการแรก ก็คือพระคุณของพระเจ้า ประการที่สอง การอุทิศถวายและทุ่มเทชีวิตของเปาโลเอง และอีกประการหนึ่ง คือ มีเพื่อนร่วมงานหลายคน คนที่สำคัญมากที่สุดในคนเหล่านั้น คือ ทิโมธี ดังนั้นเปาโลได้เขียนจดหมายส่วนตัวสองฉบับและได้ส่งไปยังทิโมธี
เปาโลเรียกทิโมธีว่า เป็นบุตรแท้ของเราในความเชื่อ(1ทธ. 1.2) นี่เป็นความจริง ทิโมธีเป็นคนที่ประกอบด้วยความเชื่อ เมื่อเรามองดูแล้ว สิ่งแวด ล้อมและสถานการณ์ในสมัยของทิโมธีไม่ค่อยดีที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ทิโมธีได้เกิดระหว่างบิดาเป็นกรีกและมารดาเป็นยิว เป็นลูกครึ่ง และได้เติบโตที่ต่างประเทศ ซึ่งแสวงหาความรู้มากกว่าพระเจ้า ไม่ใช่อิสราเอล แต่ทิโมธีมีความเชื่อดี เข้มแข็งมาก ความเชื่อของทิโมธีเป็นความเชื่ออย่างจริงใจ เขาทำอย่างจริงใจ จึงมีความเชื่อแบบนั้นได้ คำตอบอยู่ในข้อที่ 5 บอกว่า ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่าน อันเป็นความเชื่อซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีอยู่ในท่าน หมายความว่า การที่ทิโมธีมีความเชื่ออย่างจริงใจได้นั้นก็ได้รับอิทธิพลจากมารดา พระคัมภีร์ไม่ค่อยพูดถึงบิดาของทิโมธี เพียงแต่บอกว่า ... แต่บิดาเป็นชาติกรีก(กจ.16.1ข) ส่วนมารดาของทิโมธีนั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกชื่อของมารดาไว้ ชื่อว่า ยูนีส ยูนีสเป็นใคร
ยูนีสเป็นชาติยิวและเป็นศิษย์พระเยซู (กจ.16.1) ไม่ใช่เลี้ยงดูลูกฝ่ายเนื้อหนังเท่านั้น แต่ได้เลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณ เป็นหญิงที่ยำเกรงพระเจ้า มารดาแท้ คือมารดาที่ยำเกรงพระเจ้า อับราฮัม ลิงคอร์น อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ อเมริกา ผู้ซึ่งยากจนมากเมื่อเป็นเด็ก ได้กล่าวไว้ว่า คนที่มีมารดาที่ยำเกรงพระเจ้านั้นไม่ยากจน
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า ยูนีสได้รับเชื่อพระเยซูเมื่อไรและอย่างไร สิ่งสำคัญ ก็คือ เขาได้แต่งงานและใช้ชีวิตด้วยกันกับคนกรีกที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่เขายังเชื่อในพระเจ้าและถ่ายทอดความเชื่อของตนให้แก่ทิโมธี ยูนีสเองก็ได้รับการถ่ายทอดความเชื่อจากมารดาของตน คือโลอิส เป็ภาพที่สวยงามมากที่ความเชื่อได้ถูกถ่ายทอดมาสามชั่วอายุคน คือ โลอิส ยูนีส และทิโมธี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ยูนีสได้ถ่ายทอดความเชื่อของตนให้แก่ทิโมธี ลูกชายของตนอย่างไร
1. ยูนีสได้ถ่ายทอดความเชื่อของตนโดยการสอนพระคัมภีร์
2 ทิโมธี 3.15 ได้กล่าวไว้ว่า และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ หมายความว่า ทิโมธีได้รู้พระคัมภีร์ ก่อนที่ทิโมธีได้พบเปาโล ทิโมธีรู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร คงไม่สงสัยในเรื่องนี้ว่า ได้เรียนรู้จากมารดา แท้จริง ยูนีสได้เรียนจากมารดาของตน คือ โลอิส และยูนิสก็ได้นำไปสอนลูกของตน
หัวใจแห่งการสอนลูกของคนยิว คือเนื้อหาของ แสมา ซึ่งปรากฎอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 6.4-9 คำว่า แสมา หมายถึง จงฟังเถิด มารดาของคนยิวทั้งหลายได้อ่านเนื้อหาของข้อเหล่านั้นให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกเกิดมา ไม่ว่าลูกจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม เพราะเหตุนี้ เด็กทั้งหลายของคนยิวมักจะพูดคำว่า แสมาก่อน คำว่า แม่ แม้จนบัดนี้ คนยิวได้ท่องจำและภาวนาพระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ในครอบครัวทุกๆวันทั้งตอนเช้าและตอนค่ำ ให้เรานำเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้กับเรา อย่างน้อยมีสี่อย่างที่เราควรกระทำแก่ลูกๆของเราเกี่ยวกับพระคัมภีร์
1) เราควรเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์ให้ลูกๆฟังบ่อยๆ
เด็กส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะดูทีวี วีดีโอ หรือเล่นเกมย์คอมพิวเตอร์มากเกินไป คนอเมริกาดูทีวีวันละประมาณห้าชั่วโมง เราคงห้าม ไม่ให้ดูทีวี วีดีโอ หรือเล่นเกมย์คอมพิวเตอร์ไม่ได้ แต่ควรให้มีความสมดุล ให้ดูวีดีโอเรื่องพระคัมภีร์ก็จะดีกว่าให้ดูทีวี หรือวีดีโอเรื่องทั่วไป แต่ที่ดีที่สุด คือบิดามารดาเล่าเรื่องพระคัมภีร์ให้ลูกฟังผ่านทางการนมัสการในครอบครัว
2) เราควรสอนให้ลูกๆอ่านพระคัมภีร์
วิลลิอัมส์ได้แต่งเพลงบทหนึ่งโดยการทรงจำภาพที่มารดาได้อ่านพระคัมภีร์เมื่อเขาเป็นเด็กว่า มีหนังสือเล่มหนึ่งที่รักและมีค่าสูง
3) เราควรสอนให้ลูกๆท่องจำพระคัมภีร์
การท่องจำพระคัมภีร์เปรียบเหมือนการเอาเงินไปฝากไว้ที่ธานคาร เราจำเป็นใช้เงินเมื่อไร สามารถเบิกเงินใช้ได้ทุกครั้งฉันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เราระลึกถึงพระวจนะที่เราท่องจำไว้แล้ว และให้เราได้ชัยชนะด้วยพระวจนะฉันนั้น เมื่อมารซาตานมาผจญพระเยซู พระองค์ก็ทรงชนะมารด้วยพระวจนะ
4) เราควรสอนให้ลูกๆเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานพระคัมภีร์ให้เราเพียงอ่านและท่องจำเท่า นั้น แต่ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวจนะนั้น ให้เราระลึกถึงคำอุปมาของพระเยซูเรื่องคนโง่และคนมีปัญญา ซึ่งเป็นข้อสรุปคำเทศนาบนภูเขาของพระองค์ คนที่ฟังพระวจนะและเชื่อฟังนั้นก็เปรียบเหมือนคนมีปัญญาที่ได้สร้างบ้านบนศิลา แต่คนที่ไม่ได้เชื่อฟังนั้นเปรียบเหมือนคนโง่ที่ได้สร้างบ้านบนหาดทราย ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม บ้านหลังที่ถูกสร้างไว้บนศิลานั้นมิได้พังลง แต่บ้านหลังที่ถูกสร้างไว้บนหาดทรายนั้นพังทลายง่ายดาย
2. ยูนีสได้ถ่ายทอดความเชื่อของตนโดยการเป็นแบบอย่างที่ดี
ข้อ 5 ได้บอกว่า มารดาของทิโมธีเป็นคนที่มีความเชื่ออย่างจริงใจ ความเชื่ออย่างจริงใจนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดมาจากจิตใจ เป็นความเชื่อที่การกระทำสอดคล้องกับคำพูด เป็นความเชื่อที่ชีวิตในคริสตจักรและนอกคริสตจักรเป็นอันเดียวกัน เป็นความเชื่อที่ไม่เปลียนแปลงแม้เวลาผ่านไปมากเท่าไรก็ตาม
เราควรแสดงแบบอย่างแห่งความเชื่อของเราในสองด้าน ประการแรก เราควรเป็นแบบอย่างที่ดีในวาจา พูดอีกนัยหนึ่ง คือ เราควรพูดด้วยความเชื่อ วาจาแห่งความเชื่อนั้น เป็นวาจาแห่งการขอบคุณ ไม่ใช่วาจาแห่งการบ่น เป็นคำพูดในแง่บวก ไม่ใช่ในแง่ลบ เป็นคำพูดที่รักคนอื่น ไม่ใช่เกลียดชัง หรือกล่าวโทษคนอื่น เป็นคำพูดที่ชมเชยและเสริมสร้างคนอื่น ไม่ใช่ตำหนิและทำลายคนอื่น เป็นคำพูดที่สะอาด บริสุทธิ์ ไม่ใช่สกปรก เป็นคำพูดที่สร้างสันติ ไม่ใช่แตกแยก
ประการที่สอง เราควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตประจำวัน มีบิดามารดาบางคนที่ตนไม่ได้ปฏิบัติตาม แต่ให้ลูกๆปฏิบัติตาม ก่อนที่จะบอกกับลูกๆให้ทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้น เราควรทำเช่นนั้น แล้วลูกๆจะทำตาม
ในยามที่อธิษฐานไม่ได้ ให้เราอธิษฐาน ในยามที่ไม่น่าขอบคุณ ให้เราขอบคุณ ในช่วงที่หมดหวัง ไม่เห็นอนาคต ให้เรามีความหวังในพระเยซูคริสต์ แม้คนที่เรารักไม่ได้ ให้เรารักด้วยความรักของพระเจ้า
มารดาเป็นครูคนแรกหลังจากที่ลูกๆได้เกิดมาในโลกนี้แล้วพบ และเป็นครูตลอดชีวิต ลูกๆไม่ได้เรียนและทำตามคำสอน หรือคำพูดของบิดามารดา แต่มักจะเรียนและทำตามการกระทำของบิดามารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มารดาเป็นหนังสือตำราเคลื่อนที่ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของลูกอย่างมากมาย
มารดาของทิโมธีเป็นมารดาแห่งความเชื่อ มีความกระตือรือร้นในการเรียนพระวจนะของพระเจ้า และสอนพระวจนะนั้น ยิ่งกว่านั้น เป็นคนที่มีความเชื่ออย่างจริงใจ เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ได้ถ่ายทอดความเชื่อให้แก่ทิโมธี ลูกของตน ทำให้ทิโมธีเป็นคนของพระเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เราถ่ายทอดความเชื่อของเราแก่ลูกๆของเราเหมือนมารดาของทิโมธี