1 ยอห์น 4:21
ทำไมเราถึงต้องรักซึ่งกันและกัน ก็เพราะว่าพระเจ้ารักเราและเลือกเราก่อน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักพี่น้องโดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียนพี่น้องที่เกิดจากพระเจ้าความสัมพันธ์ความผูกพันเกิดขึ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลายแต่ละคน พระเยซูได้ให้บัญญัติใหม่แก่สาวกของพระองค์ใน ยอห์น 13:34-35 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันอย่างนั้น-ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา บัญญัติของพระเจ้าง่ายๆ คือ รักซึ่งกันและกัน ความเข้มแข็งของคริสตจักรไม่ได้หมายความเพียงว่าเราแต่ละคนมีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้องคริสตียนด้วย ในกิจการ 2:44-45 คริสตจักรยุคแรกเขานมัสการตามบ้าน เขาไม่มีเสรีภาพอย่างที่เรามีอยู่เหมือนคริสเตียนยุคนี้ ที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่เพราะอัครทูตออกคำสั่งให้เขาทำ...เปล่าเลย ที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะพระวิญญาณบริสุทธ์เร้าใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และยิ่งถูกข่มเหงถูกกดดันต่างๆ นานาแต่เขาก็ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ คริสเตียนยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น ถ้าพี่น้องเคยอ่านหนังสือ The Heavenly Man (บุรุษจากสวรรค์) เราเห็นถึงความเชื่อคริสเตียนจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ารักพระเจ้าและรักพี่น้องคริสเตียน เขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย
1 ยอห์น 3:17 อ.เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงพี่น้องคริสตจักรเมืองเอเฟซัส และอีกหลายๆ แห่งในอาณาจักรโรม แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้ รักพระเจ้าและรักพี่น้องไม่ใช่แค่คิดจะรัก แต่ต้องแปลความรักออกมาเป็นการกระทำด้วย คือการแบ่งปันและการแจกจ่ายช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องของพระเยซูคริสต์ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วอาณาจักรโรม เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือเขารักพระเจ้าและเขารักซึ่งกันและกัน
มาตรฐานความรักของพระเยซูคริสต์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมาตรฐานความรักของโลก เพราะว่าพระองค์รักด้วยการเสียสละ พระองค์ให้ชีวิตพระองค์เองแก่สาวกตลอด 3 ปี พระองค์แบ่งปันทุกสิ่งที่พระองค์ได้รับจากพระบิดาให้กับสาวก ไม่ว่าจะเป็นคำสอน การดำเนินชีวิต การเผชิญปัญหา สิทธิอำนาจจากพระองค์ต่างๆ ความรักของพระเยซูคริสต์คือ การให้ชีวิต ให้เวลาทุ่มเทเพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นทีมเดียวกัน พระองค์ร่วมเผชิญปัญหา ความสุข ความทุกข์ กินด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน นี้คือแบบอย่างที่พระองค์ปรารถนาให้เราเรียนรู้และทำตาม เราต้องให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ที่เรารักซึ่งกันและกันได้โดยมองดูที่พระองค์ เพราะพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์มีความถ่อมใจและปรนิบัติพวกเขา พระองค์ทำทุกสิ่งเพียงเพื่อจะให้พวกเขารู้ว่าเมื่อรักแล้วก็ต้องปรนิบัติรับใช้ พระองค์สอนเขาและแสดงให้ดูด้วย ในยอห์น 13:1 ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด แล้วข้อต่อๆ ไปเราจะพบว่าพระเยซูลุกขึ้นล้างเท้าสาวก พระองค์กำลังสอนเขาถึงความรัก เมื่อเกิดความรักก็สามารถที่จะแสดงความถ่อมใจรับใช้คนอื่นด้วยความจริงใจ
พระเยซูสำแดงความรักแก่สาวก คือ การให้อภัย เรามาหาพระองค์พระองค์เพราะอะไร? ก็เพราะว่าเราต่างก็มีปัญหา ถามว่าพวกสาวกเขาร่วมกันมีปัญหาหรือเปล่า ? มีครับ ทะเลาะกันไม? ทะเลาะครับ... แก่งแย่งกันใครจะใหญ่กว่าใคร ใครจะนั่งข้างซ้ายใครจะนั่งข้างขวา เราพบว่าความรักที่พระเยซูคริสต์แสดงแก่พวกสาวกก็คือ การให้อภัย.. พระองค์อดทนต่อพวกเขาแม้เขาจะปฏิเสธพระองค์ละทิ้งพระองค์ไป เปโตรปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งว่าไม่รู้จักพระองค์ ครั้งพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เสด็จไปหาพวกเขาจิตใจพระองค์ผูกผันและให้อภัยสาวก พระองค์ถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ? และในที่สุดพระองค์บอกเปโตรอีกว่า จงเลี้ยงแกะของเรา พระเยซูยังคงจดจ่ออยู่ที่เปโตร พระองค์เห็นว่าเขายังเป็นคนใช้การได้ กาลาเทีย 6:1-2 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุขภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเองเกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย-จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ ความรักที่พระเยซูมีต่อพวกสาวกทำให้พระองค์ตามเขากลับมา เขาออกน้ำพระทัยพระเจ้ากลับไปจับปลา พระองค์ไม่รอให้เขามาหาพระองค์ แต่เสด็จไปหาเขาด้วยความรักให้เขากลับมาสู่งานรับใช้กลับมาสู่พันธกิจ
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันคือ เมื่อมีความรักก็ต้องเรียนรู้จัก การผ่อนหนักผ่อนเอาซึ่งกันและกัน ธรรมชาติของมนุษย์เราคือ การคิดว่าตัวเราเองเป็นศูนย์กลางซึ่งนำไปสู่การขัดแย้ง และแตกแยก พระธรรม โคโลสี 3:13 กล่าวไว้ว่า จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกันองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราอะลุ่มอะล่วยกับความบาป แต่ว่าให้เรารู้จักยอมรับกันและกันในความแตกต่าง ในความไม่เหมือนกัน เพราะว่าเราทั้งหลายมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น เราต้องให้อภัยพี่น้องถ้าเรารักพระเจ้าเราก็ต้องให้อภัยและรักเขาให้ได้ พระคัมภีร์สอนเราเสมอว่า ทุกคนจงทำให้เพื่อนบ้านพอใจ
คำตรัสของพระเยซูที่ตรัสว่า .......ถ้าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน โลกจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา อ. เปาโล บอกเราด้วยว่าอย่างไร? จงสวมความรักทับสิ่งแหล่านี้ทั้งหมด เพราะว่าความรักย่อมผูกผันทุกสิ่งไว้ให้ถึงความสมบูรณ์ ถ้าเรามีความรักต่อพระเจ้า แน่นอนเราก็สามารถที่จะรักคนอื่นได้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม พระเจ้าสามารถทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิต ในคริสตจักรของเรามากกว่านี้ได้ ถ้าหากเราทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรักพี่น้อง
โดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียน ถ้าเราสำแดงเช่นนี้โลกก็จะรู้ว่าเราทั้งหลายเป็นสาวกของพระองค์.