ฟีลิปปี 4.8-9
ในคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู พระองค์ตรัสว่า เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ (มธ.5.48) พระเจ้าของเราทรงเป็นผู้ดีรอบคอบ เราเรียกพระเจ้าผู้ดีรอบคอบว่า พระบิดา และเราเป็นลูกของพระองค์ ลูกควรเป็นเหมือนบิดา ดังนั้นเราควรเป็นคนดีรอบ คอบเหมือนพระเจ้าดีรอบคอบ
เมื่อเราดำเนินชีวิตที่ดีรอบคอบ ไม่มีที่ติได้ และปราศจากตำหนิ เราจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า พระองค์ทรงพอพระทัยเรา และตรัสว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก(มธ.3.17) ขอให้เราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า ให้เราทักทายซึ่งกันและกันว่า ให้เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำอย่างไร เราจึงดำเนินชีวิตที่ดีรอบคอบได้ อจ.เปาโลได้ให้คำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้ใน 4.8-9 เมื่อเราสังเกตดูแล้ว คงเห็นอย่างชัดเจนได้ว่า มีคำกิริยา ซึ่งเป็นคำสั่ง คือจง ปรากฎสองครั้ง ในข้อ 8 ครั้งหนึ่ง และในข้อ 9 อีกครั้ง
1. เพื่อจะดำเนินชีวิตที่ดีรอบคอบ เราต้องคิดสิ่งที่ควรคิด (8)
คำพูดทุกคำ และการกระทำทุกอย่างออกมาจากจิตใจ จิตใจเป็นที่อาศัยของความ คิด ความคิด คำพูด และการกระทำนั้นเกี่ยวข้องกัน พระเยซูตรัสไว้ว่า คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้น(ลก.6.45) ถ้าเราคิดสิ่งที่ไม่ดี เรามักจะพูดและกระทำสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราคิดสิ่งที่ดีในใจของเรา เราก็จะพูดและกระทำสิ่งที่ดี จึงมีคำพูดว่า ถ้าปลูกความคิด ก็จะเกี่ยวเก็บการกระทำ, ถ้าปลูกการกระทำ ก็จะเกี่ยวเก็บนิสัย ถ้าปลูกนิสัย ก็จะเกี่ยวเก็บบุคลิกลักษณะ ถ้าปลูกบุคลิกลักษณะ ก็จะเกี่ยวเก็บชะตากรรม ดังนั้น ชีวิตของเราจะไปทิศทางไหน ดีหรือชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับความ คิดในใจของเราว่า เรามีความคิดแบบไหน
เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องคิดสิ่งที่ควรคิด อะไรเป็นสิ่งที่คริสเตียนเราควรคิด อจ.เปาโลได้แนะนำสิ่งที่คริสเตียนควรคิดเสมอ 6 อย่าง
1) สิ่งที่จริง ความจริงเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเทียมเท็จ พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ (ยน.17.3) ความสัตย์สุจริตของพระเจ้าดำรงเป็นนิตย์ (สดด.117.2) พระเยซูทรงเป็นผู้สัตย์จริง (วว.3.7) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นวิญญาณแห่งความจริง (ยน.14.17) เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สัตย์จริง คริสเตียน ลูกของพระองค์ก็เป็นคนสัตย์ซื่อ ดังนั้นเราควรคิด ใคร่ครวญสิ่งที่จริงโดยปราศจากเท็จ
2) สิ่งที่น่านับถือ ความเชื่อถือเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของผู้รับใช้พระเจ้า เราควรเป็นคนที่น่านับถือในความคิด ในการพูด และในการกระทำโดยปราศจากตำหนิ ใครเป็นคนที่น่านับถือ คนที่รู้จักความรับผิดชอบของตน คนที่ไม่เปลี่ยนท่าทีทั้งในช่วงแรกและช่วงปลาย และคนที่ความคิด คำพูดกับการกระทำเป็นอันเดียวกัน
3) สิ่งที่ยุติธรรม คำว่า ยุติธรรมธ ที่นี่หมายถึงชอบธรรม เมื่อพระคัมภีร์ใช้คำว่า ชอบธรรม ก็หมายความว่า สอดคล้องกับมาตรฐานหรือกฎระเบียบของพระเจ้า ถึงแม้ว่า เราเป็นคนบาป แต่เมื่อเราเชื่อพระเยซู พระเจ้าทรงถือเราว่า เป็นคนชอบธรรม ดังนั้น เราควรสำแดงความชอบธรรมของพระองค์ให้คนอื่นเห็นผ่านทางชีวิตของเรา เราควรทำให้จิตใจของเราเต็มด้วยความชอบธรรมของพระเจ้า คิดสิ่งที่ชอบธรรม
4) สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่บริสุทธิ์ คือสิ่งแท้ๆ ไม่ได้เอาอะไรมาพสม ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เหตุจูงใจและจุดประสงค์ของเราต้องบริสุทธิ์ ในการที่เรามาโบสถ์ เรามีเหตุจูงใจ คือ ปรนนิบัติรับใช้ และรักพระเจ้าจริงๆ นอกนั้นแล้วไม่มีอะไร ไม่ควรเอาสิ่งอื่นมาพสม
5) สิ่งที่น่ารัก นอกจากหมายความว่า น่ารักแล้ว ยังมีความหมายว่า ทำให้คนอื่นชื่นชมยินดี มีความดึงดูด กระตุ้นความสนใจของคนอื่น เราควรสร้างสันติ แทนที่จะสร้างปัญหาหรือสร้างความเป็นศัตรูกัน เพื่อจะทำให้คนอื่นดีใจ
6) สิ่งที่ทรงคุณ หมายถึงน่าชมเชย มีชื่อเสียงดี สิ่งที่เราคิดนั้นควรเป็นสิ่งที่น่าชมเชย และทำให้เรามีชื่อเสียงดีในสังคมมนุษย์
หกอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นคุณความดี และการสรรเสริญที่แท้จริงของคริสเตียน นักเรียนต้องขยันเรียนหนังสือมากฉันใด คริสเตียนต้องมีคุณความดีและการสรรเสริญทั้ง 6 อย่างเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว หรือช่วงเวลาช่วงเดียวเท่านั้น แต่ควรคิดสิ่งเหล่านี้เรื่อยๆ
บางคนคิดสั้นเกินไป และแคบเกินไป เราควรคิดอย่างลึกและกว้าง เมื่อเราคิด ใคร่ครวญและจับตามองดูทั้ง 6 อย่างเสมอแล้ว เราจะมีความยอดเยี่ยมทางศิลธรรม และเราจะได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า และจากมนุษย์ด้วย เหมือนพระเยซูเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย ถ้าคุณความดี 6 อย่างนี้ได้ครอบครองความคิดในจิตใจของเรา ชีวิตของเราจะยอดเยี่ยมและดีรอบคอบ
2. เพื่อจะดำเนินชีวิตที่ดีรอบคอบ เราต้องกระทำสิ่งที่ควรกระทำ (9ก)
การที่เราคิดสิ่งที่ควรคิดเพื่อจะดำเนินชีวิตที่ดีรอบคอบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่เพียงพอและไม่สมบูรณ์ ไม่มีกรณีที่จะสำเร็จในสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความคิดเท่านั้น ความคิดในใจของเราต้องถูกสำแดงออกเป็นการกระทำ การกระทำปราศจากความคิดนั้นไร้จุดประสงค์และความคิดปราศจากการกระทำก็ว่างเปล่าๆ คนที่มีการกระทำเท่ากับความคิดเป็นคนดีรอบคอบ เมื่อเราสังเกตดูข้อ 9 ตอนต้น เราพบคำกิริยา 4 คำ คือ เรียนรู้ ได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็น สิ่งที่คริสเตียนชาวฟีลิปปีได้เรียนรู้จากอัครทูต คือ คุณความดี 6 อย่าง ซึ่งปรากฎอยู่ในข้อที่ 8 พวกเขาไม่ใช่เรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจากอัครทูตเท่านั้น แต่ได้รับสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจของเขา ความรู้ในสมองกับความรู้ในจิตใจนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าความรู้ในสมองลงไปยังไม่ถึงจิตใจ ความรู้นั้นขาดประสิทธิภาพ แต่เมื่อลงไปถึงจิต ใจแล้ว ความรู้นั้นจะทำงานดี เกิดผลมาก
คริสเตียนชาวฟีลิปปีได้เรียนรู้คุณความดี 6 อย่างด้วยการได้ยิน ยิ่งกว่านั้น ชาว ฟีลิปปีได้เห็นว่า คำสอนของอัครทูตนั้นได้ถูกปฎิบัติในชีวิตของอัครทูต เปาโลได้ดำเนินชีวิตตามที่ท่านได้เทศนาสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ชาวฟีลิปปี ดังนั้น พวกเขาได้เรียนรู้จากสอนของอัครทูตและชีวิตของอัครทูตด้วย
เปาโลได้ท้าทายเราให้เราไม่ใช่คิดเท่านั้น แต่ให้กระทำด้วย มีปัญหาของเราอันเดียว คือรู้แต่ไม่ได้ปฎิบัติตาม คริสเตียนในปัจจุบันนี้บางคนคงไม่ต้องการคำเทศนาหรือคำสั่งสอนอีก แต่ต้องการที่จะปฎิบัติตามที่เรียนรู้ ได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็น คนไม่น้อย ความคิดกับชีวิตจริงไม่เหมือนกัน มีความคิดที่ดีมากมายและพูดมากมาย แต่ไม่ได้ปฎิบัติ พูดให้คนอื่นทำ แต่ตัวเองไม่ได้ทำ ชีวิตคริสเตียนจึงยังไม่ค่อยดีรอบคอบเท่าที่ควร ทำอย่างไร เราสามารถที่จะปฎิบัติตามที่เราคิดได้ ต้องรู้จัก 4 ขั้นตอนในการปฎิบัติ คือ ความปรารถนา ความตัดสินใจ ความตั้งใจแน่วแน่ และการฝึกอบรม ยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการเฝ้าเดียว ถ้าจะทำให้การเฝ้าเดียวเกิดขึ้นจริงในชีวิต ก่อนอื่น ต้องมีความปรารถนาที่จะใช้เวลากับพระเจ้าเป็นส่วนตัว มีความปรารถนาอย่างเดียวก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องตัดสินใจว่า 6 โมงเช้าทุกวันจะเฝ้าเดียว ถึงแม้ว่า มีความปรารถนาและตัดสินใจแล้ว แต่คงตื่นสายเกินไป จึงต้องตั้งใจแน่วแน่ว่า จะทำอย่างไรจึงไม่ตื่นสาย คือตั้งเวลาปลูกก่อน 6 โมงเช้า แต่ยังมีปัญหา คือเมื่อนาฬีกาได้ปลูก แต่ให้หยุดเสียงนาฬีกา แล้วหลับอีก ไม่ยอมตื่นตามนิสัยของเรา จึงจำเป็นต้องฝึกอบรมตัวเองอย่างต่อเนื่อง เหมือนนักกีฬา หรือนักดนตรี พระคัมภีร์บอกว่า ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้ว ก็จะเป็นเหมือนครูของตน (ลก.6.40) พูดถึงความสำคัญของการฝึกตัวเอง คิดก่อนทำ หรือทำก่อนคิด แน่นอน เราต้องคิดก่อนทำ ให้เราคิดสิ่งที่ควรคิด คิดคุณความดี 6 อย่างเรื่อยๆ คือ สิ่งที่จริง น่านับถือ ยุติธรรม บริสุทธิ์ น่ารัก และสิ่งที่ทรงคุณ แล้วกระทำตามคุณความดี 6 อย่างนี้ ถ้าความคิดของเราไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมือนกับความคิดของพระเจ้า จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดของเราจากแง่ลบเป็นแง่บวก และจากความคิดของเราเป็นความคิดของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์ และการรำพึงภาวนาในจิตใจเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิต (สดด.19.14) ถ้าเราเปลี่ยนความคิดและการกระทำสักร้อยละ1 ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิม คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนรูปแบบความคิดของเขา
เราจำเป็นต้องฝึกในการคิดและในการกระทำ แล้วเกิดอะไรขึ้น ข้อ 9 ตอนท้ายบอกว่า พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่านเถิต ชีวิตที่พระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตอยู่ด้วยเป็นชีวิตที่ดีรอบคอบ ขอให้ทักทายซึ่งกันและกันด้วยคำพูดว่า ขอให้เป็นคนดีรอบคอบ