มัทธิว 28.16-20
ศาสนทูตอรัญ ยูแบงค์ เป็นชาวเมืองเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เดิมเป็นนักธรณีวิทยา ต่อมาเข้ารับราชการเป็นทหารช่างยศร้อยเอก เคยมาประจำอยู่ที่ประเทศเกาหลี หลังจากนั้นจึงได้แต่งงาน และทั้งสองได้ตัดสินใจรับใช้พระเจ้า เมื่อเรียนจบจากพระคริสตธรรมคัมภีร์แล้ว ก็เดินทางมาเป็นมิชชั่นนารีที่ประเทศไทยนับตั้งแต่บัดนั้นมาถึงวันนี้เป็นเวลา 14 ปี ท่านเป็นผู้รับพระเจ้าที่ทำงานเข้มแข็ง และท่านเอาจริงเอาจังกับทำงานตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานการประกาศพระกิตติคุณ และมีพี่น้องคนไทยรับเชื่อพระเจ้า และท่านก็ได้เป็นครูสอนที่วิทยาลัยพระคริสตธรรม เชียงใหม่ และตลอดเวลาที่ท่านสอนที่เชียงใหม่นั้น ท่านก็ได้ นำนักศึกษา ออกทีมประกาศไปในที่ต่างๆทุกภาคในประเทศไทย จึงนับได้ว่าท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ประสบการณ์มากมาย ด้านการประกาศพระกิตติคุณในประเทศไทย.
พี่น้องทั้งหลายในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน การประกาศนั้น ไม่เฉพาะผู้รับใช้พระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของเราทุกๆคน ให้เรามีใจกล้า มีภาระใจ มีความเข้มแข็ง และเอาจริงเอาจังกับการประกาศเป็นพยาน ในทุกเมื่อ เมื่อมีโอกาส และจงฉวยโอกาส ในการประกาศอย่างเอาจริง เอาจัง ในเช้าวันนี้ข้าพเจ้า จะแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าเรื่อง การประกาศ ในหัวข้อที่บอกว่า ฉันจะไปบอก
จากพระวจนะของพระเจ้า มัทธิว 28.16-20 ได้ชี้ให้เราเห็นถึง เหตุผล ที่เราะต้องออกไปประกาศนั้นมี3ประการดังต่อไปนี้
1. เพราะเป็นการมอบหมายของพระเยซูคริสต์ (16,18)
แต่สาวกสิบเอ็ดคนนั้น ก็ได้ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงได้กำหนดไว้ พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัส กับเขาว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
คำว่า มอบหมาย ให้ความหมายว่า สั่งเสีย หรือกำหนดให้ คือฝ่ายหนึ่งมอบการงานหน้าที่ให้อีกฝ่ายหนึ่งทำและรับผิดชอบ คือทำให้สำเร็จตามที่ได้สั่งไว้ เราจะเห็นว่าอับราฮัมได้มอบหมายให้คนใช้ของอับราฮัมไปหาภรรยาให้กับอิศอัค ให้ไปยังหมู่ญาติ พี่น้องของตน และหาภรรยาคนหนึ่งให้อิศอัค และพระองค์จะทรงส่งทูตของพระองค์ไปท่าน ถ้าเจ้าไปถึงหมู่ญาติของเราแล้ว เขายังไม่ให้หญิงนั้นมากับเจ้า เจ้าจงพ้นจากคำสาบของเรา เราจะเห็นว่า คนใช้ของอับราฮัมเมื่อได้รับการมอบหมายจากนายแล้ว ก็ทำตามทันที ทั้งๆที่ยังมีความวิตกกังวลว่า จะมีจริงอย่างที่กล่าวหรือ ดูเหมือนคำการมอบหมายของนายจะง่ายเกินไป แต่สิ่งสำคัญท่านได้ยอมรับการมอบหมายจากนายของตน
พี่น้องทั้งหลายการที่เราต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นนั้น เพราะเป็นการมอบหมายของพระเยซู ในเคล็ดลับที่
ก. พระเยซูทรงเรียกเรา
คำว่า เรียกในที่นี้ หมายถึง เรียกให้ไปหา เรียกให้ไปพบเพื่อเรียนรู้บางสิ่ง บางอย่าง และเพื่อที่จะรับการมอบหมายให้รับผิดชอบในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง พระเยซูทรงได้เรียกสาวกของพระองค์แต่ละคนที่มีนิสัยแตกต่างกัน มีความรู้แตกต่างกัน มีอาชีพที่แตกต่างกัน มีฐานะที่แตกต่างกัน และมีลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนใจร้อน บางคนใจเย็น บางคนเศร้า บางคนสนุก มาเป็นสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงได้ใช้เวลากับสาวก ของพระองค์ พระเยซูทรงยอมเสียสละพระองค์เองจากความสุขสบายมาสู่ความยากลำบากที่มนุษย์ใครๆก็ปฏิเสธ ถ้าหลีกเลี่ยงจากการที่ต้องมายุ่งกับชีวิตของคน เพราะว่าพระเยซูทรงรักโลก คือมนุษย์ พระองค์ทรงต้องการให้โลกรู้จักกับพระเยซู เรียกสาวกมาเพื่อที่จะถ่ายแบบอย่างชีวิต ถ่ายทอดความรัก ให้กับสาวกของพระองค์เพื่อสำแดงความรักต่อคนอื่นได้
ในข้อที่ 16 เราจะเห็นว่า ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้เรียกสาวกของพระองค์ไปพบกันที่ภูเขากาลิลี เพื่อมอบหมายคืองานพันธกิจของพระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของพระองค์แก่ผู้คนมากมายที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้าให้มารู้กับพระเจ้า นี่คืองานพันธกิจที่ไม่ธรรมดาให้กับสาวกธรรมดาทำ
ข. ให้สิทธิอำนาจกับเรา
คำว่า สิทธิอำนาจ ในภาษากรีก อ่านว่า เอกซูเซีย หมายถึงสิทธิอันเป็นทางการหรืออำนาจอันเป็นทางการ ซึ่งเป็นสิทธิที่ต้องเชื่อฟังและทำตาม ในพระธรรมโรม 1.27 กล่าวว่า คนทั้งปวงก็ประหลาดใจ นักจึงถามกันว่า การเป็นอย่างไรกันน้อ เป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันต้องฟัง ในมัทธิว 9.8 กล่าวว่า เมื่อประชาชนเห็นดังนั้นเขาก็ตระหนกตกใจ แล้วกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ได้ประทานสิทธิอำนาจนั้นแก่มนุษย์
พระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจกับ ศจ. ดร. ที.แอล ออสบอร์น ในการประกาศสั่งสอนอย่างใจกล้าหาญ สิทธิอำนาจในการขับผีออกจากผู้คนมากมายที่เป็นทาสของมัน สิทธิอำนาจการรักษาโรคต่างๆ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนหูหนวกได้ยิน พระเจ้าทรงเจิมท่านด้วยสิทธิอำนาจ ของพระองค์ทำการอัศจรรย์ มากมาย ใน 73 กว่าประเทศ ท่านเองได้มาประกาศในประเทศไทย 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ที่ท่านมานั้น ช่วงเดือนตุลาคม 2003 ในคืนประกาศที่สนามโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ในคืนแรก มีผู้คนมากมายาฟังข่าวประเสริฐ มีทั้งคนปกติ คนไม่สบาย คนหูหนวก คนตาบอด มีหญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง เธอตาบอดมาตั้งแต่เกิด และคืนวันนั้นเองที่เธอได้มองเห็นโลกที่สวยงามด้วยสายตาของเธอเอง เธอมิได้มองแบบเดิมอีกในความรู้สึกและความคิดจินตนาการของเธออีกต่อไป แต่เธอได้มองเห็นความจริง ที่สวยงามที่สุดในชีวิตของเธอ เธอตื่นเต้นมาก เมื่อเธอได้รับการรักษาจากของพระเจ้า ผ่านโดยผู้รับใช้พระเจ้า เหตุนี้เองทำให้เธอได้รู้จักกับพระเจ้า และต้อรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ จริงๆ
สิทธิอำนาจของพระเจ้า เป็นสิทธิอำนาจแห่งชัยชนะและพระพร ใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าที่ได้มอบแก่เรานั้น ในการประกาศข่าวประเสริฐแก่เพื่อนบ้านของเรา พี่น้องทั้งหลาย ที่เราต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่คนในประการที่2
2. เพราะเป็นคำสั่งของพระเยซูคริสต์ ( 19ก-20ก)
เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามบิดาพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับจ้าทั้งหลายจนกว่า จะสิ้นยุค
คำว่า คำสั่ง หมายถึงการสั่งให้ทำหรือปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายนั้นให้สำเร็จ
เพราะเป็นคำสั่งของพระเยซูในเงื่อนไขประการที่ 1
ก. ไปทั่วโลก
ในข้อ 19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญาณบริสุทธิ์
ทั่วโลก ในที่นี้หมายผู้ คน ไม่ได้หมายรูปโลกกลมๆที่เราเข้าใจกัน และคือ คนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดนั่นเอง ในพระธรรมลูกา 24.47 และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่รับการยกบาปตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม กิจการ กล่าวว่า แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธ์เดชเมื่อพระวิญญาณจะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยาน ฝ่ายเราในกรุง เยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก และในต้นๆของข้อที่19 กล่าวว่า จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
พี่น้องทั้งหลาย โลกของเราอยู่ที่ไหน ? ชนชาติของเราอยู่ที่ไหน ? เมืองของเราอยู่ที่ไหน? การไปทั่วโลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ว่า เราจะต้องไปประกาศในประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือเมืองใดเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่โลกของเราในที่นี้ คือ ที่ที่เราอยู่ ที่ที่เรากำลังเหยียบ โลกของเราอยู่ข้างๆเรานี่เอง คือเพื่อนบ้านของเรา พ่อค้า แม่ค้า ขายข้าวของริมถนน คือโลกของเรา เราได้ไปสัมผัสชีวิตของเขาหรือยัง ? เราได้ยื่นสิ่งดีดี ให้เขาหรือยัง? เราเคยบอกเขาว่าพระเยซูรักเขาหรือไม่ ? เราลืมไปแล้วหรือว่า นี่คือโลกของเรา ที่เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา คือคนที่ใกล้ตัวเรา คนที่เราคุ้นเคย
พี่น้องทั้งหลายเราก็เช่นเดียวกัน ให้เราเริ่มประกาศกับคนใกล้ตัวเรา เพื่อนบ้านของเรา พ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ข้างๆบ้านเรา บอกเขาว่า พระเยซูรักเขา พระเยซูทรงเอาพระทัยใส่เขา ให้โอกาสเขาเสมอ และพระเยซูทรงเห็นความสำคัญของเขาและทรงเห็นคุณค่าชีวิตของเขา เพราะเรารู้ว่าค่าของคนนั้นไม่ได้อยู่ความเก่งความสามารถ ความสำเร็จ ความร่ำรวย หรือความดีของเขา แต่คุณค่าของคนนั้นอยู่ที่ การสร้างปั้นแต่งชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์คู่เดียวของพระเจ้า และค่าของคนนั้นอยู่การทรงยอมพลีพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ดังนั้นค่าของคนมีค่าเท่ากัน แม้คนจน คนพิการ หรือ คนไม่มีความรู้
ขอให้เรารักคนอื่นเหมือนพระเยซูรักเรา และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเราเอง ขอพระเจ้าช่วยเรา ให้รักคนคนอื่นด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนเหล่านั้นได้
ข.ให้ประกาศ
ประกาศ หมายถึง การป่าวร้อง การแจ้งให้ทราบ ให้เราประกาศถึงแผ่นดินของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าในที่นี้ หมายถึง ให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูทำ เช่นพระเยซู ทรงรักษาโรค ให้เรารักษาโรค พระเยซูทรงขับผี ให้เราขับผี พระเยซูสั่งสอนให้เราสั่งสอน พระเยซูช่วยคนที่หิวโหย ให้เราช่วยคนยากจน พระเยซูปล่อยเชลยที่ถูกบีบบังคับ ให้เราต้องเอาใจใส่สังคม เหตุฉะนั้นการประกาศเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระเยซู ก็ให้เป็นเป้าหมาย ที่ใหญ่ที่สุดของเราด้วย พระธรรมโรม 10.17 กล่าวว่า ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ ก็เพราะได้ยิน การได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะ การประกาศพระคริสต์
พี่น้องทั้งหลายเหตุผลที่เราต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่คนอื่นประการที่ 3
3. เพราะเป็นหน้าที่ของเรา (19ข-20ข.)
คำว่า หน้าที่ ในที่นี้ กิจที่ต้องทำหรือกิจที่ควรทำ คือความสัตย์ซื่อ ต่อหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ แต่หน้าที่ในที่นี้ หมายถึงหน้าที่ของคริสเตียนทุกคน ที่ได้รับมอบจากพระเยซู ให้ทำในสิ่งที่พระองค์ ทรงพึงประสงค์ให้เราทำ คือหน้าที่แห่งการประกาศข่าวดี ของพระเจ้า แก่คนอื่น 2ทิโมธี 4.5 จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ อ.เปาโล เป็นคนหนึ่งที่ได้บอกว่า สำหรับชีวิตของท่านแล้วนั้นไม่ได้ถือว่ามีค่าอะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านถือว่ามีค่าก็คือ ชีวิตนี้ขอทำหน้าที่การประกาศพระราชกิจของพระเจ้า ให้สำเร็จก็แล้วกัน
การประกาศข่าวประเสริฐ เพราะเป็นหน้าที่ ในเคล็ดลับ ประการที่ 1
ก. เราต้องสั่งสอน
สั่งสอน ในที่นี้ หมายถึง การชี้แจง ให้ทำหรือบอกให้ทำ ปลายข้อที่ 19 บอกว่า จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ มก. 16.20 ออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งหน ลก. 9-11 สั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า
จากพระวจนะหลายตอนนี้ได้เน้นย้ำให้เรารู้การสั่งสอนเรื่องราวของพระเจ้า คือความรักของพระเจ้าแก่คนที่ไม่รู้ความจริง ได้รู้ความจริง ในข้อที่ 19 บอกว่าสอนเขาให้มาเป็นสาวก ในข้อ ที่ 20 บอกว่า สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ที่พระองค์ ทรงสั่งเราไว้
ข.เราต้องนำรับเชื่อ
เมื่อเราสอนพระคัมภีร์ หรือเมื่อประกาศเรื่องราวของพระเจ้าแก่เขาแล้ว เราต้อง นำเขารับเชื่อ ด้วยการนำเขาอธิษฐานตาม สารภาพกับพระเจ้า และต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเขา ในพระธรรม 2เปโตร 3.9 กล่าวว่า พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ เหตุฉะนั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พิสนาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยน.3.16)
จากพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมมัทธิว 28.16-20 ได้ชี้ให้เราเห็นถึง เหตุผล ที่เราต้องออกไปประกาศแก่คนอื่นนั้น อย่าง 3 ประการ
1. เพราะเป็นการมอบหมายของพระเยซูคริสต์ (16,18)
2. เพราะเป็นคำสั่งของพระเยซูคริสต์ (19ก-20ก)
3. เพราะเป็นหน้าที่ของเรา (19ข-20ข)
พี่น้องทั้งหลายให้เราตั้งเป้าที่จะอธิษฐานเผื่อใครสักคนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าหรือยังไม่รู้จักกับพระเจ้า ให้เขาเป็นเป้าหมายของเรา ที่จะเอาใจเราใส่ใจเขา เอาใจเขาใส่ใจเรา สนใจ ห่วงใย และรักเขาอย่างที่เขาเป็นอยู่ และประกาศกับเขา นำเขามารู้จักกับพระเจ้า องค์เดียวที่ได้รู้จัก ขอให้คนคนนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของเรา ที่เราจะประกาศข่าวแก่เขา ขอพระเจ้าโปรดทรงอวยพรท่าน