เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 3 ![]() ฟีลิปปี 4.4-7 เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก มักจะทำอะไร ในสถานการณ์ธรรมดา เราไม่ทราบว่า เขาเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่เมื่อเขาตกในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราพอทราบได้ว่า เขาเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ คริสเตียนมีสองประเภท ประเภทหนึ่ง คือคริสเตียนที่กระวนกระวายเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก อีกประเภทหนึ่ง คือคริสเตียนที่อธิษฐาน เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จประการที่สาม คือ อย่า แต่ แล้ว เมื่อเราอ่าน ข้อ 6 และข้อ 7 เราพบ 3 คำนี้ 1. เราต้องไม่ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆทั้งสิ้น (4.6 ก)อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลยคำว่า อย่าทุกข์ร้อน แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เรามักจะทุกข์ร้อนในสิ่งต่างๆ แม้ คริสเตียนก็ไม่ต่างกัน ถ้ามนุษย์ไม่วิตกกังวล หรือไม่กระวนกระวาย พระคัมภีร์คงไม่ได้บอกว่า อย่าทุกข์ร้อน ชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนคงไม่เป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ แม้ว่า มีเงินมากมาย หรือเรียนหนังสือสูง หรือหน้าตาสวย หรือมีอำนาจสูงก็ตาม คนที่ฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายทำไม ก็เพราะว่าเขาทุกข์ใจในบางสิ่งบางอย่าง คงไม่มีใครชอบความทุกข์ร้อน แต่เราส่วนใหญ่มักจะทุกข์ร้อนใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จริงๆแล้ว เรื่องนั้นอาจไม่เกิดขึ้นกับเรา ทำไมเรามักจะทุกข์ร้อนในสิ่งต่างๆ อาจมีสาเหตุหลายอย่าง แต่สาเหตุใหญ่ที่สุด ก็คือ ความรู้สึกไม่เพียงพอ เมื่อเขารู้สึกว่า ตัวเองไม่มีความสามารถที่จะเผชิญกับสถานการณ์นั้น เขาทุกข์ใจ ถึงเวลาที่จะใช้หนี้ แต่ไม่มีเงิน ก็กระวนกระวาย นักเรียนที่จะสอบพรุ่งนี้ แต่เตรียมตัวยังไม่พร้อม ก็ทุกข์ร้อนในเรื่องสอบ ถ้าเราเผชิญกับทุกสิ่งด้วยกำลังของเราเองคนเดียว เราคงทุกข์ร้อนในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คริสเตียนไม่ใช่เป็นคนที่ดำเนินชีวิตด้วยตัวเองคนเดียว แต่เราดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นพระบิดา ดังนั้น พระคัมภีร์บอกว่า อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย ทำไมเราต้องไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งต่างๆ เพราะว่า ความทุกข์ร้อนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้กล่าวไว้ว่า แผนงานของพระเจ้าสำหรับเรานั้นเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ อนาคต และความ หวังใจ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ (ยรม.29.11) ผู้เขียนสุภาษิตได้บอกว่า พระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย (สภษ.10.22) สาเหตุอีกประการที่เราต้องไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย ก็เพราะว่าเราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้โดยความกระวนกระวายนั้น พระเยซูตรัสว่า มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ (มธ.6.27) เรากระวนกระวายมากมายเท่าไร ก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเลย 2. เราต้องทูลขอทุกเรื่องต่อพระเจ้า (4.6 ข)"แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ คำว่า อย่านั้นเป็นคำสั่งในแง่ลบ คำสั่งในแง่บวกมักจะตามมาโดยใช้คำว่า แต่ คริสเตียนเราต้องเผชิญหน้าความทุกข์ร้อนด้วยแง่บวก พูกอีกนัยหนึ่งว่า เราต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระเจ้าโดยการอธิษฐาน และให้พระเจ้าทรงจัดการและแก้ไข ให้พระเจ้าแก้ไขดีกว่าที่เราพยายามที่จะแก้ไขด้วยกำลังของตนเอง โดยทั่วไปแล้ว มักจะเกิดความกระวนกระวายเมื่อเราพยายามจัดการและแก้ไขเรื่องต่างๆแทนพระเจ้า เมื่อเราจะทูลขอต่อพระเจ้า เราจำเป็นต้องทูลขอด้วยการอธิษฐานและการวิงวอน คำว่าการอธิษฐานกับการวิงวอนนั้นไม่ค่อยมีความแตกต่างมากนัก การอธิษฐานนั้นเป็นการทูลขอทั่วไป ส่วนการวิงวอนนั้น ได้ถูกใช้ในมุมมองเฉพาะ หมายถึงเรามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ และขอสิ่งนั้นที่เราต้องการต่อพระเจ้า เมื่อเราทูลขอความปรารถนาของเราต่อพระเจ้า เราจำเป็นต้องทูลขอด้วยการขอบ พระคุณ การที่เรานำปัญหาของเรามาอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยการขอบพระคุณ หมาย ความว่า เราเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงเงี่ยฟังด้วยพระกรรณของพระองค์ สดับฟังคำทูลขอของเรา และพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา นี่แหละเป็นการอธิษฐานแห่งความเชื่อ และเป็นการอธิษฐานด้วยกันกับการขอบพระคุณ คนที่มีความเชื่อในพระเจ้า ไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่รอคอยพระองค์และหวังในพระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆด้วยกำลังของเขาเอง แต่เผชิญหน้าด้วยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง เหมือนที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า (ฟป.4.13) ข้าพเจ้าชอบเนื้อเพลงและร้องบ่อยๆเพลงที่มีชื่อว่า ผู้ที่รอคอย พระองค์ทรงทอดพระเนตรเราเสมอ ผู้ทรงเต็มด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ พระองค์ทรงเงี่ยฟังเราด้วยพระกรรณ ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงประทานความสว่างเมื่ออยู่ในความมืด แม้เป็นความทูลคร่ำครวญเล็กน้อยพระองค์ก็ทรงตอบ ไม่ว่า ท่านจะอยู่ที่ไหนเพียรรอคอยพระองค์ และหวังในพระผู้เป็นเจ้า 3. สันติสุขแห่งพระเจ้าจะคุ้มครองเรา (4.7) |