ฮีบรู 13.17-19
สุขภาพฝ่ายร่างกายของเราสำคัญมากฉันใด สุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณของเราสำคัญมากฉันนั้น ความเข้ม แข็งของครอบครัวของเราสำคัญมากฉันใด ความเข้มแข็งของคริสตจักรของเราสำคัญมากฉันนั้น
เราจำเป็นต้องสร้างคริสตจักรของเราให้เข้มแข็ง เพราะคริสตจักรเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างไร คริสตจักรของเราจึงเข็มแข็งได้ มีทางเดียวที่ทำให้คริสตจักรของเราเข้มแข็งได้ ก็คือสร้างและรักษาความสัมพันธ์ภายในคริสตจักรอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพัรธ์ระหว่างผู้นำฝ่ายวิญญาณกับฆราวาส ผู้นำฝ่ายวิญญาณที่นี่ หมายถึงทีมศิษยาภิบาล ถ้ามีความสัมพันธ์ระหว่างศิษยาภิบาลกับฆราวาสดีและเข้มแข็ง คริสตจักรนั้นก็จะเข้มแข็ง
เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำฝ่ายวิญญาณกับฆราวาส มีคริสเตียนสองพวกที่คิดเกินความเป็นจริงคนละข้าง คริสเตียนบางคนถือผู้นำฝ่ายวิญญาณเป็นเหมือนพระ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่พระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดมาแทนพระเจ้าได้ ตรงกันข้าม คริสเตียนบางคนถือผู้นำฝ่ายวิญญาณเป็นเหมือนผู้รับใช้ของเขา ผู้นำฝ่ายวิญญาณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นผู้รับใช้ของมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดเลย ท่าทีทั้งสองนี้ไม่ถูก ไปเกินความเป็นจริงแล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำฝ่ายวิญญาณกับฆราวาสไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควร ถ้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความเข้มแข็งภายในคริสตจักร เราจำเป็นต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้นำฝ่ายวิญญาณตามแนวพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ได้พูดถึงท่าทีที่ถูกต้องของเราที่มีต่อผู้นำฝ่ายวิญญาณ
1. ท่าทีประการแรก คือ เชื่อฟัง (17ก)
ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน...
สาเหตุที่ต้องเชื่อฟัง เพราะผู้นำฝ่ายวิญญาณเป็นผู้รับผิดชอบจิตวิญญาณของเรา พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน 2002 ได้แปลข้อ17 ตอนต้นว่า จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน... ศิษยาภิบาลเป็นผู้ที่ดูแล และรักษาจิตวิญญาณของเรา หมายถึงผู้ที่รับผิดชอบจิตวิญญาณของเรา เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ทีมศิษยาภิบาล เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ
พระคัมภีร์สอนว่า คริสเตียนทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน ไม่ว่าเป็นศิษยาภิบาล หรือฆราวาสก็ตาม ทุกคนเป็นปุโรหิตที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้โดยพระเยซูคริสต์ ไม่จำเป็น ต้องมีปุโรหิตผู้เป็นมนุษย์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเหมือนในสมัยพันธสัญญาเดิม เราไม่ควรแบ่งแยกระหว่างศิษยาภิบาลกับฆราวาส แต่ในเวลาเดียวกัน เพื่อจะสร้างคริสตจักรของพระเจ้าให้เข้มแข็ง พระเจ้าทรงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ พระเจ้าของเราไม่ใช่เป็นพระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข เราทุกคนเป็นพี่น้องกันในพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ใช่เราทุกคนเป็นอัครทูต หรือศิษยาภิบาล หมายความว่า หน้าที่ของเราแต่ละคนที่พระเจ้าทรงมอบให้นั้นไม่เหมือนกัน ศิษยาภิบาลนั้นเป็นตำแหน่งที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์แต่งตั้งขึ้น ดังนั้น เราควรรู้ว่า ศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นผู้รับใช้ของมนุษย์ ศิษยาภิบาลเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่พระองค์ทรงตั้งไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่คริสตจักร เปาโลย้ำว่า เปาโล ผู้เป็นอัครทูต มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูคริสต์และพระบิดาเจ้า...(กท.1.1)
ตัวศิษยาภิบาลก็จำเป็นต้องรับใช้พระเจ้าด้วยมุมมองนี้ว่า เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า และธรรมิกชนก็ควรเคารพนับถือและรักศิษยาภิบาลโดยเห็นแก่พระเจ้า ถึงแม้ว่าศิษยาภิบาลเป็นลูกของเราเอง หรือพี่น้องสายเลือดเนื้อของเรา เราก็ควรเคารพนับถือตามความเหมาะสมในคริสตจักร
ศิษยาภิบาลเป็นผู้ที่ประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่เรา(ฮีบรู 13.7) และเป็นผู้ที่เตรียมธรรมิกชนให้รับใช้ในการเสริมสร้างคริสตจักรให้จำเริญขึ้นอย่างเข้มแข็ง (อฟ.4.11-12) ดังนั้นไม่ว่าศิษยาภิบาลของเราจะเป็นใคร มาจากไหน อายุเท่าไร ชาติไหน หรือจบการศึกษาระดับไหนก็ตาม เราควรเชื่อฟังเพราะงานที่เขาทำ เปาโลได้กล่าวไว้ว่า พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวองท่านให้นับถือคนที่ทำงานอยู่ในพวกท่าน ซึ่งปกครองท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าและตักเตือนท่าน จงเคารพและรักเขาให้มากเพราะงานที่เขาได้กระทำ (1 ธส.5.12-13) ไม่ใช่เพราะศิษยาภิบาลเป็นคนพิเศษ แต่เพราะพันธกิจที่เขาได้กระทำนั้นสำคัญมาก เราจึงควรเคารพนับถือศิษยาภิบาล
2. ท่าทีประการที่สอง คือ ให้ผู้นำทำงานด้วยความชื่นใจ (17 ข)
... จงให้เขาทำงานด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ...
เพราะถ้าเราทำให้ศิษยาภิบาลทำหน้าที่ของเขาด้วยความเศร้าใจ จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่เรา (17ค) ..ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย..
ศิษยาภิบาลเป็นนักเทศน์ อาจารย์สอน ผู้ให้คำปรึกษา และผู้ประกาศเพื่อเป็นประโยชน์แก่เรา เราจำเป็นต้องให้ศิษยาภิบาลทำหน้าที่เหล่านี้ด้วยความชื่นชมยินดี แล้วเราจะได้รับพระพร ซึ่งได้ไหลมาจากพระเจ้าผ่านทางทูตของพระเจ้า เราทำอย่างไร ศิษยาภิบาลจะรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรของเราด้วยความชื่นชมยินดีได้
ก่อนอื่น ไม่ควรต่อว่า หรือตำหนิศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลก็เป็นคนเหมือนเราทุกคน บางครั้งอาจทำผิดพลาดโดยไม่เจตนาก็ได้ หรือทำบางสิ่งบางอย่างไม่เก่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราซึ่งเป็นสมาชิกควรทำอย่างไร อย่าตำหนิต่อหน้าคนอื่นเลย แต่ควรหนุนใจศิษยาภิบาล และอธิษฐานเผื่อ บางครั้งศิษยาภิบาลไม่ได้ทำผิดพลาดอะไรเลย แต่ก็ยังมีบางคนที่ชอบซุบซิบ สร้างเรื่อง เผยข่าวลือ สิ่งเหล่านี้เป็นนิสัยไม่ดีเลย ทำให้ศิษยาภิบาลรับใช้พระเจ้าด้วยความเศร้าใจ ใครเสียเปรียบ คือพวกเรานั่นเอง
เราควรร่วมมือร่วมใจกับศิษยาภิบาล ข้าพเจ้าเคยอ่านข้อความที่ได้เขียนลงในวารสารของคริสตจักรแห่งหนึ่ง มีใจความดังต่อไปนี้
1. ทุกครั้งเมื่ออธิษฐาน โปรดอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลด้วย
2. ถ้ามีปัญหา หรือ เรื่องอะไรก็ตาม เชิญมาพบศิษยาภิบาล หรือโทรศัทพ์มา
3. ถ้าไม่เร่งด่วน กรุณาหลีกเลี่ยงการขอคำปรึกษาหรือมาเยี่ยมในวันจันทร์
4. ถ้ามีใครอยากจะมารับการอธิษฐานขอพรในกรณีที่ไปธุระในต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ เข้าเป็นทหาร วันเกิด การไปเรียนหนังสือต่างประเทศ เป็นต้น กรุณาโทรศัทพ์มานัดเวลาล่วงหน้า
5. เรื่องเกี่ยวกับนมัสการที่บ้านในกรณีพิเศษ เชิญมาปรึกษากับศิษยาภิบาลล่วงหน้าและนัดเวลา
5 ประการที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า เราควรปรึกษากับศิษยาภิบาลทุกเรื่องก่อน ก่อนที่จะทำอะไร อย่าคิดว่า เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างดีรอบคอบได้โดยไม่มีศิษยาภิบาล เพราะพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งศิษยาภิบาลเพื่อเป็นประโยชน์แก่เราไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นำเรื่องนั้นมาปรึกษาและขอให้อธิษฐานเผื่อ เป็นสิ่งที่ทำให้ศิษยาภิบาลมีความชื่นชมยินดี แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ทำอย่างนั้น เรามักจะตัดสินใจด้วยตัวเองและดำเนินไปโดยไม่ได้มาหาศิษยาภิบาล แล้วเมื่อเจอปัญหา หรือความยากลำบาก มักจะมาหาศิษยาภิบาลและให้อธิษฐานเผื่อ จะเห็นว่าการจัดลำดับก่อนหลังเขาเราไม่ถูกต้อง
ถึงอย่างไรก็ตาม พี่น้องทราบหรือไม่ว่า เมื่อไรที่ศิษยาภิบาลมีความชื่นชมยินดีมากที่สุด นั่นคือการเชื่อฟังพระวจนะที่ศิษยาภิบาลได้เทศนาสั่งสอน ศิษยาภิบาลได้เทศนาและสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าเพื่อจะช่วยสมาชิกให้เจริญเติบโตขึ้นจนถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ แน่นอน เราจะเติบโตขึ้นจนถึงความไพบูลย์ของพระเยซูได้โดยการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า เมื่อศิษยาภิบาลท้าทายให้อ่านพระคัมภีร์ ก็เชื่อฟังอ่านพระคัมภีร์ทุกๆวัน เมื่อสอนให้อธิษฐาน ก็อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเทศนาให้ถวายสิบลด ก็เชื่อฟังถวายสิบลด เมื่อหนุนใจด้วยพระวจนะว่า ประกาศและนำคนอื่นๆ มาหาพระเยซู ก็ทำตาม ในเวลานั่นแหละ ศิษยาภิบาลมีความชื่นชมยินดีมาก มีกำลังใจมากยิ่งขึ้นที่จะรับใช้ต่อไป ใครจะได้รับประโยชน์ พวกเรานั่นเอง
3. ท่าทีประการทีสาม คืออธิษฐาน (18-19)
จงอธิษฐานเพื่อเรา ... ข้าพเจ้าขอเร่งเร้าท่านให้อธิษฐานเช่นนั้น... ผู้เขียนฮีบรูก็ต้องการคำอธิษฐานของคริสเตียน ศิษยาภิบาลเป็นผู้อธิษฐานเผื่อสมาชิกอยู่แล้ว แต่ศิษยาภิบาลเองก็ต้องการคำอธิษฐานของสมาชิกด้วย
เปาโลเป็นผู้รับใช้พระเจ้ายิ่งใหญ่ เรารู้สึก เปาโลคงไม่มีความต้องการอะไร แต่เปาโลเองก็ขอให้คริสเตียนอธิษฐานเผื่อท่านเองบ่อยมาก (คส.4.2) เมื่อคริสตจักรได้รับการฟื้นฟูและเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ซาตานไม่ชอบและพยายามที่จะทำให้ไม่เกิดการฟื้นฟู ทราบหรือไม่ว่า ซาตานใช้วิธีอะไรเพื่อจะทำลายงานของพระเจ้าในคริสจักร ก็คือเล่นงานศิษยาภิบาล ผู้ที่มิได้อธิษฐานและถูกทดลองจากซาตาน ก็มักจะตำหนิศิษยาภิบาล แต่คนที่อธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลคงไม่ได้ต่อว่าศิษยาภิบาล แม้ศิษยาภิบาลทำผิดพลาดบ้างก็ตาม คงไม่มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งคนใดที่เป็นศิษยาภิบาลที่ดีที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรก สมาชิกจำเป็นต้องสร้างศิษยาภิบาลให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงใช้ได้โดยการอธิษฐานเผื่อ
พระเจ้าทรงสร้างคริสตจักรของพระองค์และทรงประทานตำแหน่งต่างๆ ให้แต่ละคนในคริสตจักร เพื่อสร้างคริสตจักรของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้นเราควรเชื่อฟังซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราควรเชื่อฟังศิษยาภิบาล เพราะศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นตัวแทนของพระเจ้า เราควรให้ศิษยาภิบาลทำหน้าที่ของศิษยาภิบาลด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เราจำเป็นต้องอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาล นี่เป็นท่าทีที่ถูกต้องที่เราควรมีต่อศิษยาภิบาล ผู้นำฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะได้รับประโยชน์ ความเชื่อของเราจะเติบโตขึ้น และในที่สุด คริสตจักรของเราจะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น มีพลังเพียงพอที่จะทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูได้
|