โยชูวา 24:14-18
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของปี 2006 พระเจ้าทรงประทานอีกปีหนึ่งให้แก่เราทุกคน โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะทำสองอย่างเมื่อขึ้นปีใหม่ หนึ่ง อวยพรคนอื่น สอง ตัดสินใจที่จะทำอย่างนี้อย่างโน้น คริสเตียนเราก็ตัดสินใจและตั้งใจใหม่ในช่วงปีใหม่
ในพระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ โยชูวาได้ท้าทายชนชาติอิสราเอลให้เลือกทางใดทางหนึ่ง โยชูวาเป็นผู้นำที่สืบจากโมเสสและนำชนชาติอิสราเอลเข้าไปแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญา คนที่โมเสสนำออกจากประเทศอียิปต์นั้นตายหมดในถิ่นทุรกันดารแม้แต่โมเสสด้วย ยกเว้นโยชูวากับคาเลบ ประชาชนที่โยชูวานำเข้าไปแผ่นดินคานาอันทุกคนเป็นคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปี ที่ได้เกิดในช่วงเวลาเดินทางในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้ยึดแผ่นดินแห่งพันธสัญญาและกำลังมุ่งไปสู่โลกใหม่ในแผ่นดินนั้น ถึงแม้ว่า เขาได้ยึดแผ่นดินคานาอันและได้รับดินแดน ซึ่งเป็นส่วนของตน แต่จิตวิญญาณของเขาไม่เข้มแข็ง ถึงแม้พวกเขาได้ยินจากบิดามารดา เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบรรพบุรุษของตน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักพระเจ้ามากนัก เพราะไม่ค่อยมีประสบการณ์ส่วนตัว ส่วนโยชูวามีอายุชราลงมากรู้ว่า อีกไม่นานคงสิ้นชีวิต และรู้สภาพฝ่ายวิญญาณของชนชาติอิสราเอล เพราะฉะนั้น โยชูวาได้รวบรวมคนอิสราเอลทั้งหมดที่เชเคมและเทศนาเป็นครั้งสุดท้าย เป็นคำอำลา เป็นเหมือนคำพินัยกรรม
1. โยชูวาท้าทายให้เลือกผู้ที่พวกอิสราเอลจะปรนนิบัติ (ข้อ 15)
โยชูวากล่าวว่า พระเจ้าทรงช่วยคนอิสราเอลที่อยู่ในประเทศอียิปต์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส นำพวกเขาให้ออกมาจากประเทศอียิปต์ และในที่สุดนำพวกเขาเข้ามาในแผ่นดินคานาอันตามที่สัญญาไว้กับอับราฮัม บรรพบุรุษของเขา แล้วท้าทายอย่างจริงจังให้เลือกที่จะปรนนิบัติพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อ 15 บอกว่า ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่า ท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระ ซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติอยู่ในท้องถิ่นฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส หรือของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่..
โยชูวาท้าทายให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งระหว่างพระเจ้ากับพระอื่นๆ ไม่ว่าเป็นพระในประเทศอียิปต์หรือพระในท้องถิ่นฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส คนอิสราเอลไม่สามารถที่จะปรนนิบัติทั้งสองพร้อมกันได้ จริงๆ แล้ว พระอื่นๆไม่มี รูปเคารพต่างๆนั้นไม่มีประโยชน์ พวกเขาได้เห็นด้วยตาของเขาอย่างชัดเจนว่า พระของชนชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนฟากตะวันออกแม่น้ำจอร์แดนนั้น ช่วยคนเหล่านั้นไม่ได้เลย ถึงอย่างไรก็ตาม คนอิสราเอลบางคนยังติดใจกับพระเหล่านั้น บางคนลังเลใจว่า จะปรนนิบัติพระองค์ไหน ดังนั้นโยชูวาท้าทายให้เลือกผู้ใดผู้หนึ่งที่จะปรนนิบัติ
พระเยซูตรัสว่า ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักษาอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและจะปรนนิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้ (มธ.6.24)
ไม่น่าลังเลใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้า หรือพระอื่น เราได้พ้นจากบาปและรูปเคารพมาแล้ว ขอให้เราระลึกถึงภรรยาของโลท ถึงแม้ว่าเขาได้หนีออกมาจากเมืองโสโดมแล้ว แต่ลังเลใจและเหลียวกลับไปมองดูเมืองนั้น เขาจึงกลายเป็นเสาเกลือไป ไม่ควรรีรอช้า หรือเลื่อนไป ซาตานมักจะทดลองเราให้เชื่อทีหลัง ค่อยๆ ปรนนิบัติพระเจ้า แต่พระคัมภีร์บอกว่า ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีฤดูกาล มีวาระ บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรเลือกและตัดสินใจว่า จะปรนนิบัติพระเจ้า การเลือก ก็คือ การตัดสินใจ การตัดสินใจ ก็คือความเชื่อ
โยชูวาได้ท้าทายคนอิสราเอลให้ตัดสินใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้าโดยกล่าวถึงการตัดสินใจของท่านเอง ในข้อ 15 ตอนท้ายบอกว่า ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเจ้า ไม่ว่าคนอิสราเอลจะเลือกผู้ใด โยชูวาและทั้งครอบครัวได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปรนนิบัติพระเจ้าโดยไม่ลังเลใจ จุดเริ่มต้นของความเชื่อนั้นอยู่ที่การเลือกโดยความเชื่อ หวังอย่างยิ่งว่าการเลือกและตัดสินใจอันแรกในปีใหม่นี้เริ่มจากชีวิตส่วนตัวของเรา ครอบครัวของเรา และคริสตจักรของเรา พระเจ้าไม่ทรงบังคับให้เราเลือก แต่ทรงประทานสิทธิพิเศษ พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราเลือกที่จะปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความสมัครใจ ความเชื่อคือการเลือกผู้ที่จะปรนนิบัติ เพื่อจะปรนนิบัติ นี่เป็นสิทธิพิเศษเพราะเป้าแห่งการเลือก คือพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ โยชูวาได้เลือกที่จะปรนนิบัติพระเจ้า เช่นนี้และท้าทายเราให้เลือกพระเจ้าเช่นกัน เราควรจะตอบสนองต่อการท้าทายเช่นนี้อย่างไรดี
2. ประชาชนตอบสนองที่จะปรนนิบัติพระเจ้า (ข้อ 18)
คนอิสราเอลได้สาบานว่า จะไม่ละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติพระอื่นๆ และได้บอกในข้อที่ 18 ตอนกลางว่า ... เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ด้วย เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย เมื่อคนอิสราเอลได้ฟังคำอำลาของโยชูวา เขาคงรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้า และในเวลาเดียวกันเขาได้ระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเขาในช่วงที่อพยพจากประเทศอียิปต์ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาคงประทับใจกับการตัดสินใจของโยชูวา ผู้นำอาวุโสที่จะปรนนิบัติพระเจ้า พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้า
แต่เมื่อเราอ่านข้อ 19 เรารู้สึกแปลกใจมาก โยชูวาบอกว่า ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้... หมายความว่าอะไร เข้าใจว่าโยชูวากำลังจะพูดถึงท่าทีแห่งการปรนนิบัติพระเจ้า ผู้ที่จะปรนนิบัติพระเจ้านั้น ควรทำอย่างไร
1) ต้องละทิ้งพระอื่นและรูปเคารพต่างๆ ในข้อ 19-20 โยชูวาได้พูดถึงสาเหตุที่คนอิสราเอลจะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้ โดยบอกว่า ด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหวงแหน พระองค์จะไม่ทรงอภัยความทรยศหรือบาปของท่าน ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติพระอื่น แล้วพระองค์จะทรงหันกลับและกระทำอันตรายแก่ท่าน และผลาญท่านเสีย หลังจากที่พระองค์ทรงกระทำดีต่อท่านแล้ว ในข้อ 14 ตอนกลางได้บอกไว้ว่า จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติที่ฟากตะวันออกแม่น้ำและในอียิปต์เสีย เป็นคำบัญชาในแง่ลบ
ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ได้ละทิ้งพระอื่นๆ และยังกราบไหว้รูปเคารพ ผู้นั้นจะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่ปรนนิบัติพระอื่นและกราบไหว้รูปเคารพ สองประการแรกในพระบัญญัติสิบประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่ง อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา สอง อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน... (อพย.20.3-6)
รูปเคารพ คือความโลภทุกประเภท ใจที่รักสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดมากกว่ารักพระเจ้า พระเจ้าไม่พอพระทัยเลย เราจำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้
ผู้ที่จะปรนนิบัติพระเจ้านั้นจำเป็นต้องชำระชีวิตของตนให้บริสุทธิ์ เพราะว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ ถ้าเรามีสิ่งใดที่ไม่บริสุทธิ์ในชีวิตของเรา ไม่ว่าในความคิด หรือการพูด หรือ การกระทำก็ตาม จงสารภาพบาปกับพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม พระองค์จะทรงชำระเราให้สะอาด
2) ควรปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ (ข้อ 14)
จงยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อ สัตย์ เป็นคำบัญชาในแง่บวก
ให้เราปรนนิบัติพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ไม่ใช่ครั้งเดียว วันเดียว หรืออาทิตย์เดียว ปรนนิบัติในสิ่งเล็กน้อย ปรนนิบัติพระเจ้าแม้ไม่มีใครชมเชย ไม่เกรงใจมนุษย์คนหนึ่งคนใด แต่เกรงใจพระเจ้า
เราจะปรนนิบัติพระเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร เรามองพระเจ้าไม่เห็น เพราะพระเจ้าไม่เป็นมนุษย์ การปรนนิบัติพระเจ้า คือการปรนนิบัติคริสตจักร ผู้ที่ตัดสินใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ ก็ต้องปรนนิบัติคริสตจักรเช่นนั้น แน่นอน คริสตจักรที่นี่ ไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร แต่หมายถึงชุมชนคริสเตียน อยากให้คริสตจักรของเรามีสมาชิกมากยิ่งขึ้นใช่มั้ย อยากให้มีสมาชิกกี่คนดี ข้าพเจ้าก็อธิษฐานและคิดมาตลอด พระเจ้าตอบว่า ภายในปี 2006 นี้ สมาชิก ผู้ใหญ่ 70 คน นักเรียนชั้นมัธยม 10 คน และเด็กอนุบาลถึงชั้นประถม 40 คน รวมทั้งหมด 120 คน และตั้งคริสตจักรใหม่
อยากให้ปีใหม่นี้เป็นปีแห่งพระพรมั้ย อยากให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่มีความเจริญก้าวหน้ามั้ย ความสุขและความเจริญก้าวหน้าที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราและครอบครัวของเราตัดสินใจที่จะปรนนิบัติเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ฉะนั้นในวันนี้ ขอให้เราตัดสินใจว่า จะปรนนิบัติพระเจ้า ให้เป็นปีแห่งการปรนนิบัติพระเจ้า ให้เราละทิ้งรูปเคารพทุกประเภทเสีย และปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ แล้วจะประสบความสำเร็จฝ่ายวิญญาณ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน