ReadyPlanet.com
dot
แจ้งเพื่อรับข่าวสารจากเรา

dot
dot
ทีรันนัสดอทคอม
dot
bulletสารจากผู้อำนวยการ
bulletประวัติทีรันนัส
bulletติดต่อเรา
bulletแผนที่
bulletสมุดเซ็นเยี่ยม
bulletข่าวสารจากทีรันนัส
dot
หนังสือแยกเป็นหมวดหมู่
dot
bulletหมวด คริสเตียนศึกษา
bulletหมวด การเทศนา
bulletหมวด อธิบายพระคัมภีร์
bulletหมวด คู่มือศึกษาพระคัมภีร์
bulletหมวด ชีวิตคริสเตียน
bulletหมวด เพิ่มพูนคริสตจักร
bulletหมวด การสร้างสาวก
bulletหมวด การประกาศ-มิชชั่น
dot
สำนักพิมพ์ ทีรันนัส
dot
bulletสมัครเป็นสมาชิก
bulletสมัครเป็นผู้แทนจำหน่าย
bulletหนังสือใหม่ล่าสุด
bulletหนังสือขายดีติดอันดับ
bulletหนังสือพิมพ์ซ้ำ
bulletวิธีสั่งซื้อสินค้าจากเรา
bulletศูนย์รับแจ้งสินค้ามีปัญหา
bulletแนะนำร้านหนังสือคริสเตียน
dot
Phon Phaiboon Church
dot
bulletคำเทศนาของศิษยาภิบาล
bulletข่าวสารจากคริสตจักร
dot
เว็บอื่นๆ
dot
bulletLink ลิ้งค์ไปเว็บคริสเตียน
bulletwww.thaichristians.net


องค์การ gpinternational
สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย
เว็บข่าวสารคริสเตียนไทย ทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่แบ่งแยกคณะ บทความ  คำเทศนา  เรื่องสั้น  บทกลอน  แจกโฮมเพจเพื่อคริสตจักรในท้องถิ่น.... ฟังคำเทษนาออน์ไลน์  ลิ้งค์ไปเว็บต่างของคริสเตียนทั่วโลก   แหล่งซื้อขายของคริสเตียน  สิ่งดีๆที่คุณไม่ควรพลาดในเว็บไทยคริสเ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย
คริสตจักรพรไพบูลย์


เทศนาเรื่อง ให้เรารักพระวจนะของพระเจ้า article
 

เอสรา 7.6-10

        
 เมื่อมองด้วยมุมมองของมนุษย์ทั่วไปแล้ว เอสราเป็นบุคคลที่โชคร้าย  เอสราได้เกิดมาและเจริญเติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่ชนชาติอิสราเอลตกเป็นเชลยที่ประ เทศบาบิโลน  แต่เอสราคงไม่ได้นั่งและรู้สึกหมดหวังเท่านั้น 

            พระคัมภีร์ได้แนะนำว่า เอสราเป็นเชื้อสายอาโรน มหาปุโรหิต ท่านเป็นธรรมจารย์ชำนาญในเรื่องธรรมบัญญัติของโมเสส  ท่านได้รับการรับรองจากพระราชาเปอร์เซียด้วย   อารทาเซอร์ซีส พระราชาแห่งเปอร์เซียอนุญาตให้เอสรานำคนอิสราเอลกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  ยิ่งกว่านั้น  ข้อ 6 ตอนท้ายได้บอกว่า “พระราชาประทานทุกอย่างที่ท่านทูลขอ” เอสราเป็นเชลย แต่ได้ขอจากพระราชา แล้วพระราชาประทานทุกอย่างที่ท่านได้ขอ  เรื่องนี้เป็นไปได้หรือ  เป็นไปได้อย่างไร  พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน”   ถ้าพระเจ้าอยู่ด้วยสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย

            การที่เอสรานำคนอิสราเอลเดินทางกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น คงไม่ง่าย   ระยะทางก็ไกลมาก จากบาบิโลนถึงกรุงเยรูซาเล็มตามเส้นตรงประมาณ 840 กิโลเมตร แต่ตามทางเดินประมาณ 1,450 กิโลเมตร  คงไม่ใช่นั่งเครื่องบินไป หรือนั่งรถไฟ หรือนั่งรถทัวร์  แต่ต้องเดินไปและทางเดินก็คงไม่ดี เท่ากับปัจจุบัน  เรารู้ได้จากข้อ 9 ว่า ใช้เวลาในการเดินทางจากบาบิโลนถึงเยรูซาเล็ม ห้าเดือน  อาหารการกิน น้ำดื่มก็เป็นเรื่องใหญ่  อากาศก็เป็นอุปสรรค  ยิ่งกว่านั้น คนที่ขัดขวางการเดินทางก็มีมากมายด้วย  แต่พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการเดินทาง พระคัมภีร์บอกอีกครั้งหนึ่งว่า “เพราะว่าพระหัตถ์ประเสริฐของพระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน”   ถ้าพระเจ้าอยู่ด้วย สถานการณ์ก็ไม่เป็นปัญหาเลย 

            ข้าพเจ้ามีคำถามหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นในใจ คือทำไมพระเจ้าอยู่กับเอสรา  ในสมัยนั้น คนที่เกิดในตระกูลของปุโรหิต ไม่ใช่เอสราคนเดียว  คงมีจำนวนมาก แต่พระเจ้าอยู่กับเอสราและให้ประสบความสำเร็จได้ทำไม   เท่าที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่า มีเหตุผลประการเดียว คือ เอสรารักพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ   ในข้อ 6 ก็บอกว่า เอสราเป็นธรรมาจารย์ชำนาญในเรื่องธรรมบัญญัติ   ยิ่งกว่านั้น ในข้อ10 ก็บอกว่า “เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล”   เพราะเอสรามีใจที่รักพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้ พระเจ้าจึงทรงสถิตอยู่กับท่าน ใช้ชีวิตของท่านในพระราชกิจของพระองค์ และให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตและรับใช้ปรนนิบัติพระองค์   การที่รักพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคริสเตียนทุกคน  ทำอย่างไร เราจึงรักพระวจนะของพระเจ้าได้  

 1.   ควรตั้งใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้า (10ก) 

            “เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า...”   คนที่รักพระวจนะของพระเจ้าจำเป็นต้องตั้งใจที่จะศึกษาพระคัมภีร์   เพราะพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นพระวจนะของพระเจ้า   เปโตรได้กล่าวว่า “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา” (2ปต. 1.21)  

            ถ้าจะศึกษาพระคัมภีร์  ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกๆ วันเป็นประจำ   พระเยซูเองทรงีนิสัยในการอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ(ลก.4.16)   การอ่านเป็นขั้นตอนแรกในการทำความเข้าใจ  

            ขั้นตอนที่สองในการศึกษาพระคัมภีร์ คือฟังพระวจนะของพระเจ้า  เพราะเหตุนี้ เราไม่ควรขาดการประชุมนมัสการ   ความเชื่อเกิดขึ้นได้เมื่อเราได้ยินคำเทศนา  ในวันเพ็นเทคอสต์สามพันคนที่ได้ฟังคำเทศนาของเปโตรก็รับเชื่อพระเยซูและรับบัพติศมา  พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น (กจ.10.44)  

            พระคัมภีร์บางส่วนนั้น เราสามารถเข้าใจได้เมื่อเราอ่านและฟัง  แต่บางส่วนก็ไม่เข้าใจได้โดยการอ่านและฟังเท่านั้น  จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจดีขึ้น  ดาวิดพยายามที่จะเข้าใจพระคำแต่เช้ามืด (สดด.11.147-48)  คนที่ศึกษาพระคัมภีร์ตามลำดับตั้งแต่พื้นฐานก็มีความเชื่อมั่นคง ไม่หวั่นไหว เพราะได้วางรากลงในพระวจนะของพระเจ้า

            เมื่อโรมปกครองอิสราเอล รัฐบาลโรมห้ามศึกษาพระคัมภีร์อย่างเด็ดขาด  ถ้าใครศึกษาพระคัมภีร์และถูกจับ จะต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่มีรับบีอาคีบายังคงศึกษาธรรมบัญญัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสอนธรรมบัญญัติให้แก่คนอื่นด้วย  มีคนมาถามว่า “ไม่กลัวหรือ”  รับบีอาคีบาเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง   มีสุนัขจิ้งจอกหิวโซ กำลังเดินอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง มันสังเกตดูในน้ำเห็นว่า ปลาทั้งฝูงกำลังว่ายวนไปทางโน้นทางนี้  มันถามปลาว่า... ทำไมปลาตอบว่า เพราะชาว ประมงที่กำลังถืออวนอยู่จ้องที่จะทอดอวนเพื่อจะจับพวกเรา  สุนัขจิ้งจอกบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น จะขึ้นบนฝั่งมั้ย ฉันจะแนะนำสถานที่ที่ปลอดภัย  ที่ไม่มีชาวประมงเลย”  สุนัขจิ้งจอกพูดโดยหวังว่า ปลาเหล่านี้จะเป็นอาหารมื้อเย็นอันโอชะ เมื่อปลาได้ยินเช่นนั้นแล้วได้บอกว่า “สุนัขจิ้งจอกโง่เอ๋ย  เธอคิดว่าสำหรับเรามีที่อื่นใดที่ปลอดภัยกว่าใต้น้ำนี่หรือ”  แล้วรับบีอาคีบาพูดต่อไปว่า ถึงแม้ว่าบางครั้งที่ใต้น้ำมีอันตรายสำหรับปลา แต่ไม่มีที่ไหนดีกว่าน้ำสำหรับปลาฉันใด เราหยุดการศึกษาไม่ได้แม้ต้องตายฉันนั้น

2.   ควรตั้งใจที่จะกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า (10ข) 

          “...เอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะกระทำตาม ...”

            เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์โดยการอ่าน ฟังและค้นคว้า เราก็เข้าใจพระคัมภีร์มากยิ่งขึ้น และสะสมความรู้ในด้านพระคัมภีร์ไว้ในสมอง  แต่ความรู้ในสมองไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นเหมือนพระเยซูได้  พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตาย และทรง

พลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4.12)  แต่ถ้าเรารู้อย่างเดียว ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่บังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่าที่เราเข้าใจ   นี่แหละเป็นปัญหาของคริสเตียนในปัจจุบัน  รู้พอสมควรแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น  ให้เราตั้งใจของเราที่จะกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า

            สามีภรรยาคู่หนึ่ง มีบุคลิกลักษณะค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่ค่อยยอมฟังคนอื่น  เมื่อดูทีวี สองคนนี้ทะเลาะกันบ่อยๆ  เพราะภรรยาชอบดูละคร แต่สามีชอบดูข่าว  ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง ศิษยาภิบาลเทศนาเรื่องอับราฮัมกับโลท  เมื่อเกิดการทะเลาะกัน อับราฮัมยอมให้แก่โลท  อับราฮัมบอกโลทว่า “ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือถ้าเจ้าจะไปทางขวา เราจะไปทางซ้าย” ในคืนนั้นเอง สามีไปใกล้ทีวีและเปิดช่องที่มีละคร แล้วกำลังจะไปห้องอื่น ภรรยาตกใจและถามว่า “เวลานี้เป็รายการข่าว แต่เปิดละครทำไม” สามีตอบด้วยยิ้มแย้มเจ่มใสว่า “เธอชอบดูละครมิใช่หรือ” ภรรยาก็รู้สึกอาย เปิดข่าวแล้วออกไปข้างนอก  หลังจาก นั้น สามีภรรยาสองคนนี้ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะช่องโทรทัพศ์เลย  ถ้าเราปฎิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ปัญหาก็หมดสิ้นไป

 3.   ควรตั้งใจที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้า (10ค)

            “... เอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล”

            เมื่อเอสรากลับมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็เห็นคนอิสราเอลกลุ่มหนึ่งที่ได้กลับมาก่อนหน้านั้น แต่พวกเขาเจอปัญหามากมายทั้งภายในและภายนอก ทำให้เขาอ่อนกำลัง  ความกระตือรือร้นที่จะสร้างพระวิหารของพระเจ้าก็เย็นลงแล้วหยุดการสร้างพระวิหาร  ความเชื่อของพวกเขาก็ไม่เข้มแข็ง   เอสราก็คิดหนัก ในที่สุดเข้าใจว่า มีทางเดียวที่จะฟื้นฟูจิตใจของคนเหล่านั้นได้ คือโดยพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เพราะเหตุนี้ เอสราได้ตั้งใจที่จะสอนธรรมบัญญัติให้แก่คนเหล่านั้น  

            พระเจ้าได้ทรงบัญชาคนอิสราเอลว่า “จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น”(ฉธบ.6.7)   พระเยซูก็ได้ทรงบัญชาสาวกของพระองค์ว่า “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าสิ้นยุค” (มธ.28.20)  เปาโลก็บัญชาทิโมธีว่า “จงมอบคำสอนเหล่านั้น ซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายคน ไว้กับคนที่ซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย” (2ทธ.2.2)   ดังนั้น คริสเตียนทุกคนต้องเป็นคนซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้   คริสเตียนรุ่นพี่ต้องช่วยสอนคนที่เพิ่งรับเชื่อใหม่   คริสเตียนคนที่มีความเชื่อเข้มแข็งต้องช่วยสอนพระวจนะของพระเจ้าให้แก่คริสเตียนคนที่มีความเชื่ออ่อนแอ  ผู้ใหญ่ต้องสอนเด็กและอนุชนในคริสตจักรและเรื่องนี้ต้องไม่หยุด ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา

            ข้าพเจ้าได้อ่านคำพยานของศิษยาภิบาลคนหนึ่งดังต่อไปนี้ 

            ปีที่แล้ว คริสตจักรของเราได้เก็บเกี่ยวผลแห่งการรับใช้พระเจ้าอย่างมากมาย  ได้เห็นพี่น้องสมาชิกหลายคนที่เติบโตขึ้นผ่านทางการสร้างสาวกตัวต่อตัว  ประมาณ 16 สัปดาห์เรียนพระวจนะด้วยคู่มือการสร้างสาวกตัวต่อตัว  บางครั้งรู้สึก 16 สัปดาห์นั้นนานเกินไป จึงจัดให้ระยะเวลาเรียนสั้นลง แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวเลย  บางครั้งรู้สึกว่า เรียนตัวต่อตัวหรือหนึ่งต่อหนึ่งนั้นเสียดายจึงเรียนหนึ่งต่อสอง แต่สิ่งที่หายมากกว่าสิ่งที่ได้  ในหนึ่งปีที่ผ่านพ้นไป คนหลายคนได้สร้างคนของพระเจ้า และหลายคนก็ได้รับการสร้างโดยใช้คู่มือการสร้างสาวกตัวต่อตัว  ทำให้เกิดผลมากมาย  นี่แหละ เป็นทางที่ดี ข้าพเจ้าได้พบความหวังแห่งการรับใช้ที่นี่  ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ผู้ปกครอง มัคนายก และครูรวีของเราทุกคนถูกเตรียมที่จะสอนคนอื่นเหมือนธรรมาจารย์เอสรา”

            วันนี้เป็นวันระลึกถึงพระคัมภีร์สากล  ให้เรารักพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  พระองค์จะสถิตอยู่กับคนที่รักพระวจนะของพระองค์  ทรงใช้เขา อวยพรเขาให้เขาประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตและในการรับใช้พระเจ้าเหมือนเอสรา  วิธีการรักพระวจนะของพระเจ้านั้น คือตั้งใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้า ตั้งใจที่จะกระทำตาม และตั้งใจที่จะสอนคนอื่น ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้ทุกคนรักพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าแต่ก่อน 

                                                                       **********************

           





คำเทศนาเรื่อง สุขสันต์วันคริสตมาส article
คำเทศนา ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส article
คำเทศนาเรื่อง เหรียญทองแห่งความเชื่อ article
คำเทศนาเรื่อง ให้ทุกคนสรรเสริญพระเจ้า article
เทศนาเรื่อง รู้จักการขอบพระคุณ article
เทศนาเรื่อง เจ้ารักเราหรือ article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่มีสองปีก article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่มีชีวิตชีวา article
คำเทศนาเรื่อง จงมาดูและรีบไปบอก article
คำเทศนาเรื่อง คริสตจักรที่รักซึ่งและกัน article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่เพิ่มพูนทวีคูณ article
เทศนาเรื่อง ผล 9 อย่างของพระวิญญาณ article
เทศนาเรื่อง การรู้จักบังคับตน article
คำเทศนาเรื่อง ความสุภาพอ่อนน้อม article
คำเทศนาเรื่อง เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ article
เทศนาเรื่อง ความสัตย์ซื่อ article
เทศนาเรื่อง ความดี article
เทศนาเรื่อง การวางใจที่ได้รับพระพร article
เทศนาเรื่อง มารดาแห่งความเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ความปรานี article
เทศนาเรื่อง ความอดกลั้นใจ article
เทศนาเรื่อง สันติสุข article
เทศนาเรื่อง ความปลาบปลื้มใจ article
ท่าทีการรับใช้ที่พระเจ้าชอบพระทัย article
เทศนาเรื่อง ผู้เชื่อที่รอคอย article
เทศนาเรื่อง จงอุตส่าห์สอนลูกหลานของท่าน article
ความรัก article
ผลของพระวิญญาณบริสุทธ์ article
เทศนาเรื่อง รู้จักพระเยซูที่เราเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ผู้ที่เราควรกลัว article
เทศนาเรื่อง แบบอย่างชีวิตที่เลือกทางที่ถูกต้อง article
เทศนาเรื่อง มารดาแห่งความเชื่อ article
เทศนาเรื่อง ถ้าการฟื้นจากตายไม่มี article
เทศนาเรื่อง จงเที่ยวหาผู้ที่หลงหาย article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่เต็มไปด้วยการขอบพระคุณ article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่จะพอใจ article
เทศนาเรื่อง รักพระเจ้าต้องรักพี่น้อง article
เทศนาเรื่อง ชีวิตคริสเตียนที่ดีรอบคอบ article
เทศนาเรื่อง ฉันจะไปบอก article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 3 article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 2 article
เทศนาเรื่อง เคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ article
เทศนาเรื่อง ให้มีจิตใจปรองดองกัน article
เทศนาเรื่อง ความเชื่อที่เป็นแบบอย่างที่ดี article
เทศนาเรื่อง ท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้นำฝ่ายวิญญาณ article
เทศนาเรื่อง คริสตจักรที่เข้มแข็ง article
คำเทศนาเรื่อง ให้เราเชื่ออย่างถูกต้อง article
sermon D 06 article
sermon C 06 article
sormon B 06 article
sermon A 06 article
new book
Headline
Headline
TEST TYRANNUS