ฟีลิปปี 2.19-24
ความเชื่อของทิโมธี
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2005
เปาโลไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐให้ชาวฟีลิปปีฟังและนำพวกเขามาถึงความรอดเท่านั้น แต่ท่านสนใจในเรื่องสวัสดิภาพฝ่ายจิตวิญญาณของชาวฟีลิปปีด้วย เปาโลจึงปรารถนาที่จะไปเยี่ยมคริสตจักรฟีลิปปี แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ในเวลานั้น เพราะถูกจำจองอยู่ในคุก ดังนั้น เปาโลจึงวางแผนที่จะส่งทิโมธีให้ไปเยี่ยมคริสตจักรฟีลิปปีและรับใช้ที่นั่นแทนเปาโล เปาโลได้บอกว่า พี่น้องทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่าน (4.21) หมายถึง ในช่วงที่เปาโลถูกจำจองอยู่ในคุกที่โรมและเขียนจดหมายฉบับนี้ คงมีผู้ร่วมงานของเปาโลหลายคนอยู่ด้วยกัน แต่ทำไมเปาโลวางแผนที่จะส่งทิโมธีเป็นตัวแทนของตน คงมีเหตุผล ดังนั้น เราควรจะทราบบทเรียนที่สำคัญจากความเชื่อของทิโมธี
1. ทิโมธีเป็นคนที่มีความสนใจคนอื่นอย่างแท้จริง (2.19-20)
การที่เปาโลกำลังจะส่งทิโมธีเป็นตัวแทนของตน ก็เพราะทิโมธีมีความสนใจอย่างแท้จริงต่อคริสเตียนชาวฟีลิปปี ในข้อ 20 กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง นอกจากทิโมธีแล้ว เปาโลไม่มีใครที่ส่งไปยังคริสตจักรฟีลิปปี เพราะว่าทิโมธีมีน้ำใจอย่างเดียวกับเปาโล เปาโลได้รับรองบุคลิกภาพของทิโมธีโดยใช้คำว่า มีน้ำใจเหมือน คำนี้ได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อทิโมธีทำอย่างไรที่คริสตจักรฟีลิปปีในฐานะตัวแทนของเปาโล ก็เหมือนกับการตัดสินใจของเปาโลเอง ในขณะที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐ ทิโมธีได้เชื่อฟังเปาโล รุ่นพี่ของตน รับใช้พระเจ้าด้วยใจเดียวกันกับเปาโลตลอดเวลา จนเปาโลได้รับรองทิโมธี พระคัมภีร์ข้อนี้เหมือนใบรับรอง หรือใบรับประกันของเปาโลเพื่อทิโมธี
ทิโมธีเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นอย่างแท้จริง เปาโลได้บอกไว้ว่า ทิโมธีเป็นคนเอาใจใส่ทุกข์สุขของคริสเตียนชาวฟีลิปปีอย่างแท้จริง ทิโมธีคงรู้จักคริสเตียนชาวฟีลิปปีหลายคน เพราะว่าเป็นคนหนึ่งในทีมประกาศของเปาโล เพราะเหตุนี้เปาโลวางแผนที่จะส่งทิโมธีให้ไปเยี่ยมและหนุนใจคริสเตียนที่เมืองฟีลิปปี
เราต้องมีท่าทีเช่นเดียวกันนั้น คริสเตียนจำนวนมากมีความสนใจคนอื่นอย่างผิวเผิน สิ่งที่คนอื่น ๆ ต้องการจริง ๆ ก็คือ ความสนใจที่แท้จริง เราต้องเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของตนเอง เราต้องร้องไห้กับคนที่ร้องไห้ และชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี (โรม 12.15) เราต้องอธิษฐานเผื่อสภาพฝ่ายจิตวิญญาณของคนอื่นเหมือนสภาพของตน นี่เป็นชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงในชุมชนคริสเตียน คือ คริสตจักร ให้เราแสดงความสนใจคนอื่น โดยเฉพาะพี่น้องที่ขาดการนมัสการในวันนี้โดยการอธิษฐานและหนุนใจทางโทรศัพท์ หรือไปเยี่ยมเยียน ให้เราสนใจครอบครัวของเรา โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน เราควรคิดถึงปลายทางของครอบครัวที่ยังไม่เชื่อพระเยซู
2. ทิโมธีย่อมแสวงหาผลประโยชน์ของพระคริสต์ (2.21)
ในข้อ 21 ได้กล่าวว่า เพราะว่าคนอื่นๆ ย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์ นอกจากทิโมธีแล้ว ไม่มีใครที่ให้ความสำคัญแก่งานของพระคริสต์เป็นอันดับแรก
มีคริสเตียนหลายคนอยู่รอบๆ เปาโลในเวลานั้น แต่ทุกคนย่อมแสวงหาผลประ โยชน์ของตน ไม่สนใจในการแสวงหาผลประโยชน์ของพระคริสต์ ทุกคนไม่ว่างเลย และยุ่งมากในการทำธุระของตน สำหรับคนเหล่านั้น พันธกิจของพระเยซูเป็นงานรอง เป็นงานอันดับที่สองหรือที่สาม แต่ธุระส่วนตัวของเขาเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ทิโมธีเท่านั้นที่ได้แสวงหาผลประโยชน์ของพระคริสต์ก่อน เหมือนดังที่แสงไฟได้ส่องสว่างในกลางคืนที่มืดมัว
เราจำเป็นต้องแสวงหาผลประโยชน์ของพระคริสต์ก่อน เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงช่วยเราให้รอด เพื่อมิให้เราอยู่เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือมิให้เราดำเนินชีวิตโดยเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย (2 โครินธ์ 5.15) พระเยซูได้ทรงเสียสละพระองค์เพื่อเรา เราจึงควรเสียสละชีวิตของเราเพื่อพระเยซูมิใช่หรือ
พระเยซูเคยทรงตรัสไว้ว่า จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน...(มัทธิว 6.33) และตรัสอีกว่า ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา (ลูกา 9.23) คนที่ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์ คือคนที่ไม่ได้เอาพระเยซูเป็นศูนย์กลาง หรืออันดับแรกในชีวิตของเขา จะเป็นสาวกของพระเยซูไม่ได้
พระคริสต์ทรงปรารถนาจะเป็นเอกในชีวิตเราทุกด้าน หมายความว่า พระองค์อยากจะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่เพียงแต่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเท่านั้น แต่อยากเป็นใหญ่เป็นนายเหนือเรา พระองค์ประสงค์ที่จะควบคุมแผนการของเรา พระองค์ประสงค์ที่จะควบคุมการเงินของเรา พระองค์ประสงค์ที่จะควบคุมชีวิตของเราทั้งหมด ทั้งชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และการทำมาหากินของเราด้วย
คนไทยที่ไปโบสถ์ทั่วประเทศ คงไม่ต่ำกว่าสามแสนคน แต่สาวกที่แท้จริงที่รับเอาพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้ามีกี่คน คงไม่มากนัก ดังนั้น คริสตจักรไทยมีปัญหามาก ทำให้คริสตจักรไทยสับสน และไม่ค่อยบริสุทธิ์จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พี่น้องเป็นอย่างไร
3. ทิโมธีเป็นคนที่เตรียมพร้อมเต็มที่ (2.22-24)
มีสาเหตุอีกประการหนึ่งที่เปาโลปรารถนาที่จะส่งทิโมธี เพราะว่าทิโมธีเป็นคนที่เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในหลายด้าน ดังนั้น เปาโลเชื่อว่า ทิโมธีสามารถที่จะทำหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายอย่างเกิดผลแน่นอน จึงแสดงความแน่ใจว่า แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้ว ว่าเขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา(22) เชื่อแน่ว่า พระเจ้าทรงใช้คนที่เตรียมพร้อม เปาโลได้พูดถึงความพร้อมของทิโมธีไว้สามประการ
1) บุคลิกภาพของทิโมธีได้รับการรับรองโดยคุณค่าของเขา(22ก) คำว่า คุณค่า ที่นี่ได้ถูกแปลในพระคัมภีร์ฉบับภาษาเกาหลีว่า การพิสูจน์ หมาย ความว่า ได้รับการตัดสินว่า ผ่าน หรือ มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์หลังจากถูกทดสอบแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเปาโลบอกว่า ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้ว ก็หมายถึง ท่านก็รู้ดีแล้วว่า ทิโมธีได้อดทนต่อการทดสอบ แล้วเป็นคนที่มีคุณค่าที่มีบุคลิกภาพที่ดี ผู้ที่ไม่ได้อดทนการพิสูจน์ของพระเจ้านั้น ยากที่จะเป็นคริสเตียนที่ดีเลิศ
ไม่มีใครที่ชอบถูกทดสอบ ไม่มีใครที่ชอบความยากลำบาก แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้ เพื่อให้บุคลิกภาพแห่งความเชื่อของเราเติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่ได้รับการรับรองจากทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ดังนั้นความยากลำบากเป็นพระพรสำหรับคริสเตียนเรา ยากอบได้บอกว่า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย (ยากอบ 1.2-4) เมื่อเราอดทนความยากลำบากด้วยใจสมัคร พระคัมภีร์บอกว่า ด้วยว่า พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ(โยบ 23.10)
2) ทิโมธีได้รับการฝึกอบรมด้วยพระวจนะ (22ค) ทิโมธีได้รับการฝึกอบรมเสมือนลูกที่ถูกอบรมสั่งสอนจากบิดา ทิโมธีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเปาโล เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับลูกๆ เปาโลได้นำทิโมธีมาหาพระเยซู และเลี้ยงดูด้วยพระวจนะของพระเจ้าเหมือนบิดาเลี้ยงดูลูก เปาโลได้เขียนจดหมายที่ฝากไปถึงทิโมธี สองฉบับ ในจดหมายสองฉบับนี้ เปาโลได้เรียกทิโมธีว่า ทิโมธี ผู้เป็นลูกแท้ของเราในความเชื่อ ดูก่อนทิโมธี บุตรของข้าพเจ้า
การมีผู้ดูแลฝ่ายจิตวิญญาณเป็นพระพรยิ่งใหญ่ แน่นอน ศิษยาภิบาลเป็นผู้ดูแลฝ่ายจิตวิญญาณของสมาชิกทุกคน นอกจากศิษยาภิบาลแล้ว ผู้ดูแลฝ่ายวิญญาณ อาจเป็นครูสอน หรือรุ่นพี่แห่งความเชื่อ หรือพี่น้องซึ่งกันและกัน ดังนั้น คริสเตียนต้องได้รับการอบรมโดยผ่านทางผู้รับใช้พระเจ้า คือศิษยาภิบาล ครูสอนและรุ่นพี่แห่งความเชื่อ เพราะว่าพระเจ้าทรงตั้งคนเหล่านี้ เพื่อให้เตรียมคริสเตียนให้พร้อมที่จะรับใช้พระองค์ทั้งภายในคริสตจักรและภายนอกคริสตจักรด้วย เราต้องช่วยดูแลซึ่งกันและกัน
3) ทิโมธีได้มีส่วนในการรับใช้พระเจ้า (22ข) การพิสูจน์ หรือการฝึกอบรมเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหยุดแค่นั้น ก็ยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องร่วมรับใช้พระเจ้าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่วมรับใช้พระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทิโมธีมีจุดประสงค์อันเดียว เหมือนเปาโล คือรับใช้เพื่อข่าวประเสริฐ
สิทธิพิเศษใหญ่ที่สุดในสิทธิพิเศษต่างๆ ที่คริสเตียนมี คือ ทำงานเพื่อพันธกิจแห่งข่าวประเสริฐ ไม่ว่าเราเป็นศิษยาภิบาล หรือมัคนายก หรือคริสเตียนที่เพิ่งรับเชื่อก็ตาม การประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ทิโมธีมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของเปาโล เปาโลหวังใจได้ว่า ทิโมธีจะประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรฟีลิปปี เพราะทิโมธีได้เตรียมพร้อมเช่นนั้น (23) พระองค์จะทรงใช้เขาไปเมื่อไร เขาก็พร้อมที่จะไปทันที ไม่รู้จักคำว่า ไม่เอา แต่รู้จักคำว่า ใช่ ทุกครั้ง เพราะฉะนั้น เปาโลอยากจะส่งทิโมธีไปยังคริสตจักรฟีลิปปี และถ้าเปาโลถูกปล่อยเป็นอิสระ เปาโลเองอยากจะไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรฟีลิปปีด้วย
ความเชื่อของทิโมธีเป็นแบบอย่างที่ดีที่คริสเตียนควรทำตาม ทิโมธีเป็นคนที่เอาใจใส่ในทุกข์สุขของคนอื่นๆ อย่างแท้จริง เป็นคนที่แสวงหาผลประโยชน์ของพระเยซู และเป็นผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะเชื่อฟัง ขอให้เราทุกคนเป็นเหมือนทิโมธี เลียนแบบอย่างความเชื่อของทิโมธี แล้วเป็นคริสเตียนที่ดีเลิศ