ReadyPlanet.com
dot
dot
แจ้งเพื่อรับข่าวสารจากเรา

dot
dot
ทีรันนัสดอทคอม
dot
bulletสารจากผู้อำนวยการ
bulletประวัติทีรันนัส
bulletติดต่อเรา
bulletแผนที่
bulletสมุดเซ็นเยี่ยม
bulletข่าวสารจากทีรันนัส
dot
หนังสือแยกเป็นหมวดหมู่
dot
bulletหมวด คริสเตียนศึกษา
bulletหมวด การเทศนา
bulletหมวด อธิบายพระคัมภีร์
bulletหมวด คู่มือศึกษาพระคัมภีร์
bulletหมวด ชีวิตคริสเตียน
bulletหมวด เพิ่มพูนคริสตจักร
bulletหมวด การสร้างสาวก
bulletหมวด การประกาศ-มิชชั่น
dot
สำนักพิมพ์ ทีรันนัส
dot
bulletสมัครเป็นสมาชิก
bulletสมัครเป็นผู้แทนจำหน่าย
bulletหนังสือใหม่ล่าสุด
bulletหนังสือขายดีติดอันดับ
bulletหนังสือพิมพ์ซ้ำ
bulletวิธีสั่งซื้อสินค้าจากเรา
bulletศูนย์รับแจ้งสินค้ามีปัญหา
bulletแนะนำร้านหนังสือคริสเตียน
dot
Phon Phaiboon Church
dot
bulletคำเทศนาของศิษยาภิบาล
bulletข่าวสารจากคริสตจักร
dot
เว็บอื่นๆ
dot
bulletLink ลิ้งค์ไปเว็บคริสเตียน
bulletwww.thaichristians.net


องค์การ gpinternational
สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย
เว็บข่าวสารคริสเตียนไทย ทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่แบ่งแยกคณะ บทความ  คำเทศนา  เรื่องสั้น  บทกลอน  แจกโฮมเพจเพื่อคริสตจักรในท้องถิ่น.... ฟังคำเทษนาออน์ไลน์  ลิ้งค์ไปเว็บต่างของคริสเตียนทั่วโลก   แหล่งซื้อขายของคริสเตียน  สิ่งดีๆที่คุณไม่ควรพลาดในเว็บไทยคริสเ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย
คริสตจักรพรไพบูลย์


คำเทศนาเรื่อง พระเยซูผู้ถูกยกขึ้นอย่างสูง article

ฟีลิปปี 2.9-11

พระเยซูผู้ถูกยกขึ้นอย่างสูง

 

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน  2005

 

        มีหลักการของพระเจ้าอันหนึ่ง ซึ่งโลกนี้ไม่ค่อยเข้าใจ ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง  ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น

    ผู้ชายคนหนึ่งไปหาอาจารย์ของเขาเพื่อจะขอคำปรึกษา  เขามีภรรยาสองคน คนหนึ่งคนสวย แต่อีกคนหนึ่งไม่สวย   ปัญหาของเขา คือ เขาไม่ชอบภรรยาที่เป็นคนสวย แต่ชอบภรรยาที่ไม่สวย และเขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น

        อาจารย์ของเขาบอกว่า “เมื่อถือความสวยงามเป็นความสวยงาม ความไม่สวยก็เกิดขึ้น   ภรรยาคนที่สวยของคุณถือว่าตนเองนั้นสวย ดังนั้นเขากลายเป็นคนที่ไม่สวย  ตรงกันข้าม ภรรยาที่ไม่สวยของคุณถือตัวเองว่า ไม่สวย ดังนั้น เขาคงจะดำเนินชีวิตด้วยใจถ่อมลง ความถ่อใจนั่นแหละทำให้เขาสวยงาม  เพราะฉะนั้น คุณชอบภรรยาที่ไม่สวยมากกว่าภรรยาที่สวย”

        คำพูดของอาจารย์คนนี้ทำให้เรามีความเข้าใจว่า   การถือตัวเองว่าสวยนั้นนำเขาไปสู่ความอวดตัว   ความอวดตัวจะสวยได้อย่างไร   ความอวดตัวนั้นไม่สวยเลย  ภรรยาที่สวยงามของผู้ชายคนนี้มีความมั่นใจในตัวว่า ตัวเองสวย  ความเห็นแก่ตัวที่สวยนั้นไม่มีเลย  ความเห็นแก่ตัวจะสวยได้อย่างไร   ความเห็นแก่ตัวเองไม่สวยอยู่แล้ว

        แต่ภรรยาที่มาสวยของผู้ชายคนนี้รู้ตัวเองว่า ตัวเองไม่สวย ดังนั้นเขาถ่อมใจลง   ความถ่อมใจเองก็สวย  ผู้หญิงคนนี้ไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่าสวยงาม เพราะความถ่อมใจที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวทำให้เขาสวยงาม

     ดังนั้น เราควรเรียนหลักการสำคัญของพระเจ้าเช่นนี้ และนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนในการดำเนินชีวิตประจำวัน 

 

1.  พระเจ้าทรงยกพระเยซูขึ้นอย่างสูง

        ข้อ 9 บอกว่า “เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์”  ข้อ 9 เริ่มต้นด้วยคำว่า “เหตุฉะนั้น” หมายความว่า การที่พระเจ้าทรงยกพระเยซูขึ้นอย่างสูงนั้นเป็นผล  เหตุก็คือความถ่อมพระทัยพระเยซูลง เพราะพระเยซูยอมเชื่อฟังจนถึงความตายบนไม้กางเขน พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูขึ้นสูงสุดและประทานพระนามเหนือนามทั้งปวง  พระเยซูทรงถอ่มพระทัยลงอย่างไร  พระเยซู ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า ทรงสละการเท่าเทียมกับพระเจ้าด้วยพระองค์เอง  พระเยซูทรงถ่อมพระทัยลงจนได้รับสภาพทาส   พระเยซูยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา แต่ความตายของพระเยซูไม่ใช่การสิ้นสุดลง   ตรงกันข้าม เป็นจุดเริ่มต้นของสภาพใหม่   พระเยซู ผู้ทรงถ่อมพระทัยลง ได้ทรงถูกยกขึ้นอย่างสูง     

        ความถ่อมพระทัยของพระเยซูก็มีสามขั้นตอน คือ รับสภาพมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์  การถูกยกขึ้นของพระเยซูก็มีสามขั้นตอน

        ขั้นตอนแรก คือ การคืนพระชนม์   หลังจากที่พระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ในวันที่สาม พระเจ้าทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตาย   ขั้นตอนที่สอง คือ การเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์   หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์ทรงอยู่กับสาวกของพระองค์สี่สิบวัน ต่อมาพระองค์ได้ทรงเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์ตามที่พระองค์ทรงเคยบอกกับสาวกของพระองค์   ขั้นตอนที่สาม คือ การทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า   เมื่อพระเยซูได้ทรงเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ทรงประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด  

        ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงประทานพระนามเหนือนามทั้งปวง  พระนามเหนือนามทั้งปวงนั้น คงหมายถึง พระนามที่เรียกว่า องค์พระผู้เป็นใจ (ข้อ 11)   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงครอบครองอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกอย่างในจักรวาล   หลัง จากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์เองได้ทรงตรัสว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” (มธ.28.18)

        เมื่อพระเยซูได้ทรงถูกยกขึ้นอย่างสูงแล้ว มีผลที่ตามมาสองประการ

        ประการแรก คือ ทุกเข่าจะคุกลงกราบพระองค์ (10)   “เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้ฟื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซู”   หมายความว่า ทุกเข่าจะแสดงความยำเกรงพระองค์ นมัสการพระองค์ และยอมฟังพระองค์ทุกประการ

        ผู้ที่จะคุกเข่าลงกราบพระเยซูนั้น มีสามประเภท ซึ่งกล่าวไว้ว่า “...ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้ฟื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซู...”   ประเภทแรก คือทุกเข่าในสวรรค์นั้นคงหมายถึงหมู่ทูตสวรรค์และบรรดาธรรมิกชนที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูแล้วล่วงหลับไป   ประเภทที่สอง คือ ทุกเข่าที่แผ่นดินโลก หมายถึงบรรดามนุษย์ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้   ประเภทที่สาม คือ ทุกเข่าใต้ฟื้นแผ่นดินโลก หมายถึงมารร้ายและสมุนของมัน และผู้ที่ไม่ได้รับการไถ่แล้วตายไป  เมื่อถึงเวลา  บรรดาทั้งสามประเภทเหล่านี้จะคุกเข่าลงกราบต่อหน้าพระเยซูคริสต์ ไม่ว่า อยากหรือไม่อยากก็ตาม 

        ประการที่สอง คือทุกลิ้นจะยอมรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (11)  “และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า”   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง   พระนามที่เรียกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นพระนามเหนือนามทั้งปวง  ดังนั้น ผู้ที่จะรับด้วยปากของตนว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ร้องออกพระนามของขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด (โรม 10.9, 13)   บรรดาทูตสวรรค์และผู้คนที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์มักจะยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความสมัครใจ  คนเหล่านี้กล้าประกาศแก่คนที่เอาพระเยซูไปตรึงที่กางเขนว่า “เหตุฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์” (กจ. 2.36) 

        พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  คำยอมรับเช่นนี้มีความหมายหลายอย่าง ประ การแรก เป็นการแสดงถึงความเท่าเทียมกับพระเจ้า  เมื่อโธมัสได้สัมผัสกับพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว สารภาพว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” (ยน.20.28)  ประการที่สอง เป็นการแสดงถึงความเคารพ  มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนต่างชาติ มาทูลอ้อนวอนขอพระเยซูให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน พระเยซูตรัสว่า “ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร”  ผู้หญิงคนนั้นยังเคารพพระเยซู ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าข้า” (มก.7.28, แปลเอง)   ประการที่สาม เป็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าของและการยอมรับสิทธิอำนาจของพระเยซู   ตอนที่พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงใช้สาวกสองคนให้เข้าไปในหมู่บ้านและจูงลูกลามาให้พระองค์  ถ้ามีใครว่าอะไร บอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า (the Lord) ต้องประสงค์” (มธ.21.3)

 

2.     พระเจ้าทรงทำงานกับเราวันนี้ ในทำนองเดียวกัน

        มัทธิว 23.12 กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง  ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น”

        1)    พระเจ้าทรงเหยียดผู้ที่ยกตัวเองขึ้นให้ลงถึงที่ต่ำที่สุด  “ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง”  

        ในลูกา 18.9-14 พระเยซูทรงใช้คำอุปมาเรื่องคนฟาริสีและคนเก็บภาษี   ทั้งสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร   คนฟาริสีนั้นถือตัวเองว่า เป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นๆ  เขาได้ยืนอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรมและคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็นภาษีคนนี้  ในสัปดาห์หนึ่ง ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย”   ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนแต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลก.18.11-13)  คิดอย่างไร  ใครถูกนับว่าคนชอบธรรม  คนเก็บภาษี ไม่ใช่คนฟาริสี   เพราะว่า คนฟาริสีมีแต่ความอวดตัว คงเรียกได้ว่า ความอวดตัวทางศาสนา  แล้วพระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”   เพราะเหตุนี้ พระคัมภีร์บอกว่า “ความเย่อหยิ่งเดินหน้าการถูกทำลาย และจิตใจที่ยโสนำหน้าการล้ม” (สภษ.18.16)   ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว   ใครเป็นผู้เย่อหยิ่งจองหอง  ผู้เย่อหยิ่ง คือผู้ที่ปฎิเสธพระเจ้า บอกว่า พระเจ้าไม่มี   ความเย่อหยิ่งเป็นลักษณะของคนยุคสุดท้ายด้วย   พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง (ยก.4.6) และพระเจ้าทรงเป็นปฎิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง (1ปต.5.5)  

        2)    แต่พระเจ้าทรงยกผู้ที่ถ่อมตัวลงให้ขึ้นอย่างสูง  “ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น”

        หลักการของพระเจ้านั้นไม่เหมือนกับหลักการของโลก   ผู้ที่ถ่อมใจลงจริงๆ นั้น พระองค์จะทรงยกขึ้น

        พระเยซูไม่ให้สาวกของพระองค์นั่งในที่อันมีเกียรติ เมื่อรับเชิญไปในการเลี้ยง  เพราะว่าเจ้าภาพอาจจะเชิญคนมียศมากกว่า และมาบอกว่า “จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด แล้วท่านจะต้องเลื่อนลงมาที่ต่ำ”   พระเยซูให้สาวกไปนั่งที่ต่ำก่อน เมื่อเจ้าภาพเห็นและมาบอกว่า “สหายเอ๋ย เชิญเลื่อนไปนั่งในที่อันมีเกียรติ”  พระเยซูตรัสว่า “แล้วท่านจะได้เกียรติต่อหน้าคนทั้งหลายที่ร่วมโต๊ะด้วยกันนั้น เพราะว่าทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง และทุกคนที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับการยกขึ้น” (ลก.14.7-11)  

        ความถ่อมใจนั้นเป็นการรู้จักสัจจะสี่ประการ  คือ ข้อจำกัดของตน ไร้คุณค่าของตน ตัวเองเป็นคนบาป และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 

        ให้เราถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูเราขึ้น   พระเจ้าจะทรงยกชูเราขึ้นเมื่อไร  พระคัมภีร์บอกว่า “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร”

(1ปต.5.6)   พระเจ้าทรงยกพระเยซูขึ้นเมื่อไร   ไม่ใช่ในขณะที่ทนทุกข์ทรมาน  ไม่ใช่ในขณะที่ถูกตรึงที่กางเขน ไม่ใช่เมื่อถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพ  แต่พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่า ในวันที่สาม พระเจ้าทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย   เมื่อถึงเวลาอันควร พระองค์จะทรงยกชูเราขึ้นแน่นอน

        หลักการของพระเจ้า คือ “ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง  ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น”   อย่ายกตัวขึ้นด้วยตนเอง แต่จงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อหน้าคนอื่นๆ  รับใช้และปรนนิบัติด้วยความอดทนนาน  เมื่อถึงเวลาอันควร พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะทรงยกชูเราขึ้น เหมือนที่พระองค์ทรงยกพระเยซูขึ้นอย่างสูง

 




Map - Introduce

แนะนำร้านหนังสือคริสเตียนอื่นๆ article
แผนที่ศูนย์ทีรันนัส article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.