พระธรรม : อพยพ 20.8-11
จงระลึกถึงวันของพระเป็นเจ้า
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2005
ทำไมคริสเตียนต้องมาโบสถ์นมัสการพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ นานๆ มาครั้งหนึ่งไม่ได้หรือ หรือปีหนึ่งมาสองสามครั้งในวันสำคัญได้ไหม
นักเทศชาวอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อเอมอสัน พัสทิกได้กล่าวไว้ว่า มีเหตุจูงใจ 4 ประการที่คนอเมริกาไปโบสถ์
1. ไปโบสถ์ตามนิสัย
2. ไปโบสถ์เพื่อจะฟังคำเทศนาจากอาจารย์บางคน
3. ไปโบสถ์เพราะว่าคริสตจักรเป็นสถาบันที่ดี ถ้าไปร่วมกิจกรรมที่โบสถ์ ก็ได้รับการรับรองในสังคมด้วย
4. ไปโบสถ์เพื่อจะได้รับการเล้าโลมชั่วคราว
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช้แรงจูงใจแท้ ที่เรามานมัสการพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ จริงๆ แล้ว เราทุกคนเป็นคนที่ต้องพินาศไปเพราะความผิดบาปของเราเอง แต่โดยพระคุณของพระเจ้า เราได้รับการยกโทษความผิดบาปของเราทั้งสิ้นด้วยพระโลหิตของพระเยซู เราซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้าอย่างมาก เราจึงปรารถนาที่จะมานมัสการพระเจ้า เหมือนที่เราร้องว่า จิตวิญญาณข้ากระหายพระเจ้า ดุจดั่งกวางน้อยกระหายหาน้ำ ทรงเป็นความปรารถนาแห่งจิตใจข้าที่อยากสรรเสริญพระองค์
คนอิสราเอลที่ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยที่บาบิโลนมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าและนมัสการพระองค์ที่พระวิหาร ได้ร้องว่า ... ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ วิญญาณของข้าพระองค์ปรารถนา เออ อาลัยหาบริเวณพระนิเวศของพระเจ้า ... ความสุขเป็นของบุคคลที่อาศัยในพระนิเวศของพระองค์ เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ (สดุดี 84.1-4)
คริสเตียนในสมัยแรกเริ่มนั้นไปโบสถ์ทุกวันๆ ไม่ใช่เพียงแต่วันอาทิตย์เท่านั้น เพราะพวกเขาได้ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้ามากมาย การไปพระวิหารเป็นส่วนสำคัญสำหรับพระเยซูด้วย ดังนั้น คริสเตียนเราควรไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ไหม ควร ทำไม
อพยพ 20.8-11นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระบัญญัติสิบประการที่โมเสสได้รับจากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย ที่นี่ไม่ได้พูดถึงวันของพระเป็นเจ้า แต่พูดถึงวันสะบาโต เราควรทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า วันสะบาโตนั้นหมายถึงเมื่อไร และทำไมเราต้องระลึกถึงวันของพระเป็นเจ้า คือวันอาทิตย์
แน่นอนวันสะบาโต คือ วันเสาร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์ นักวิชาการด้านพระคัมภีร์บอกว่า เราพบคำว่า วันสะบาโตในพันธสัญญาเดิมได้ถึง 111 ครั้ง ตามหลักพระคัมภีร์ เราควรแยกวันหนึ่งในเจ็ดวันถวายแด่พระเจ้า พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะไปประกาศให้ระลึกถึงและรักษาวันสะบาโตอย่างบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสารพัดทุกสิ่งภายในหกวัน และได้ทรงหยุดพักงานในวันที่เจ็ด ดังนั้นคนยิวก็ได้หยุดงานทุกอย่าง รวม ทั้งบุตรและทาสตาบอดจนสัตว์และแขกที่มาอาศัยอยู่ด้วยในวันเสาร์จนถึงทุกวันนี้
1. ทำไมคริสเตียนมาประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ ไม่ใช่วันเสาร์
เพราะว่า พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันอาทิตย์ มัทธิวได้บันทึกไว้ว่า ภายหลังวันสะบาโต นั่นคือ วันต้นสัปดาห์ (มธ. 28.1 ลูกา 24.1) การทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นจุดเริ่มของการสร้างใหม่ เรามานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ ก็หมายความว่า เราเข้ามามีส่วนในการสร้างใหม่ เราได้รอดพ้นจากชีวิตเก่าในอดีต ความผิดบาป และอำนาจของความตาย และได้เข้าสู่โลกใหม่ ชีวิตใหม่ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ นอกจากนี้แล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคริสตจักร วันอาทิตย์เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดี เป็นวันที่พระเจ้าทรงอวยพระพรด้วย เป็นวันของพระเจ้า เพราะฉะนั้น คริสเตียนในสมัยแรกได้เข้ามาชุมนุมกันนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์แทนที่จะพบในวันเสาร์ (1 คร. 16.1-2) ดังนั้นเราก็ต้องหยุดงาน และมานมัสการพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ เมื่อพระเจ้าให้เราหยุด เราต้องหยุดการงานทั้งสิ้น
ตัวอย่าง(1) ไฟสัญญาณจราจร ก็มีทั้งสีแดง สีเขียว และสีเหลือง สีแดงนั้นให้หยุด ถ้าคนขับรถคนหนึ่งไม่สนใจสีแดง และขับไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อเราดูปฎิทิน ก็มีสองสี คือ สีดำกับสีแดง วันหยุดทางราชการและทางศาสนาเป็นสีแดง นอกจากนี้แล้ว วันอาทิตย์ก็เป็นสีแดง สีแดงนั้นหมายถึงให้หยุด เราควรหยุดพักงานในวันที่พระเจ้าให้หยุด คือวันอาทิตย์
มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งในรัฐฟีลเดลเฟีย ประเทศอเมริกา ชื่อ สติบึน จีหราด ในวันเสาร์วันหนึ่ง เขาได้บอกกับลูกน้องของเขาให้มาทำงานวันพรุ่งนี้ เพราะว่าเรือบันทุกเพิ่งถึงที่ท่าเรือ แล้วคนหนุ่มคนหนึ่งมาหาจีหราดด้วยใบหน้าไม่สบายใจและบอกว่า นายห้างครับ พรุ่งนี้ผมมาทำงานไม่ได้ เพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ นั่นหรือ ถ้าอย่างนั้น คุณจะไม่มีโอกาสที่จะทำงานที่นี่ ทราบแล้วครับ ถึงแม้ว่าผมต้องเลี้ยงดูคุณแม่ที่อายุสูง แต่ผมทำงานในวันอาทิตย์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ไปที่โอฟิส แล้วจะรับค่าจ้างของวันที่ได้ทำงาน ภายหลังคนหนุ่มคนนี้ตกงานแล้ว ไปเที่ยวทั่วเมืองหางาน 3 สัปดาห์ แต่ไม่พบ วันหนึ่ง ผู้อำนวยการธนาคารแห่งหนึ่งได้โทรไปหาคุณจีหราดและบอกว่า กำลังจะเปิดสาขาของธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นขอแนะนำคนดี คุณจีหราดคิดดูแล้ว ในที่สุดได้แนะนำคนหนุ่มคนนั้น แต่คุณได้ไล่เขาออกมิใช่หรือ ใช่แล้ว ผมได้ไล่เขาออก เพราะเขาบอกว่า ทำงานในวันอาทิตย์ไม่ได้ คนที่ไม่เปลี่ยนหลักการและความเชื่อตามสถานการณ์อย่างคนหนุ่มคนนี้แหละเป็นคนที่ไว้ใจได้ สามารถมอบเงินในสาขาใหม่ของคุณได้ คนหนุ่มคนนั้นได้งานที่ดีกว่าและมีรายได้มากกว่า เมื่อเรามอบทุกอย่างไว้กับพระเจ้าและติดตามพระองค์ด้วยการไว้วางใจในพระองค์ พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน
2. จะรักษาวันของพระเป็นเจ้า ถือเป็นวันบริสุทธิ์ได้อย่างไร
พระวจนะสำหรับวันนี้ คืออพยพบทที่ 20 กล่าวถึงสองอย่าง หนึ่งให้ทำงานหกวัน และสอง ให้หยุดพักงานในวันที่เจ็ด เมื่อเราอ่านพันธสัญญาเดิมข้ออื่นๆ ไม่ให้จุดไฟ ห้ามซื้อขาย แต่ให้ถวายเครื่องบูชาและนมัสการพระเจ้า
ผู้นำทางศาสนาของคนยิวพยายามที่จะรักษาตามตัวหนังสือ โดยไม่ได้คิดน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาจึงตั้งข้อปฎิบัติมากมายว่า อะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ในวันสะบาโต คริสเตียนบางคนก็พยายามที่จะไม่ทำสิ่งนี้สิ่งโน้นโดยไม่ได้คิดถึงวิญญาณแห่งวันสะบาโตที่แท้จริง เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะหมวดกิตติคุณสี่เล่ม เรามักจะพบการโต้เถียงกันระหว่างพวกผู้นำของคนยิวกับพระเยซู
ครั้งหนึ่ง พระเยซูได้ทรงรักษาคนที่มีผีเข้าสิงเป็นเวลา 18 ปีให้หายในวันสะบาโต นายธรรมศาลาไม่พอใจที่พระเยซูรักษาคนป่วยในวันสะบาโต จึงบอกประชาชนให้มารับการรักษาในหกวันและไม่ให้มารับการรักษาในวันสะบาโต พระเยซูตรัสว่า โอ คนหน้าซื่อใจคด เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมัน พาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ ฝ่ายผู้หญิงนี้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม ซึ่งซาตานได้ผูกมัดเขาไว้สิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดพ้นจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันสะบาโต แล้วพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว บรรดาคนที่เป็นปฎิปักษ์กับพระองค์ต้องขายหน้า และประชาชนก็เปรมปรดิ์ เพราะสรรพคุณความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำ (ลูกา 13.15-17) พระเยซูไม่พอพระทัยที่คนยิวได้ทำให้กลายเป็นกฎหมายแทนที่จะถือเป็นวันบริสุทธิ์ตามพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงตรัสว่า วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต เหตุฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย (มก.2.27-28)
เราไม่ควรเป็นทาสของธรรมบัญญัติที่พยายามทำตามตัวหนังสือโดยไม่ได้คิดถึง น้ำพระทัยของพระเจ้า หลังจากที่พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว คริสเตียนในสมัยแรกปฎิบัติอย่างไร เราก็ควรปฎิบัติอย่างนั้น
1) คริสเตียนในสมัยแรกได้เข้าร่วมประชุมทุกวันอาทิตย์และฉลองและนมัสการพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วยความชื่นชมยินดี
2) คริสเตียนในสมัยแรกได้เข้าร่วมประชุมทุกวันอาทิตย์และสามัคคีซึ่งกันและกันด้วยพระวจนะของพระเจ้าและด้วยการอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน
3) คริสเตียนในสมัยแรกได้เข้าร่วมประชุมทุกวันอาทิตย์และลงมือทำตามคำบัญชาของพระเยซูที่ว่าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองโดยการถวายทรัพย์เพื่อจะช่วยคนยากจน
วันของพระเป็นเจ้า คือ วันอาทิตย์เป็นวันเปรมปรีดิ์ มีความหมายและคุณค่าอย่างสูง และยิ่งกว่านั้น เป็นคำบัญชาของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกให้เรารักษาและถือเป็นวันบริสุทธิ์ เป็นคำบัญชาที่มีคำสัญญาแห่งพระพร วันอาทิตย์เป็นวันของพระเจ้า เราต้องส่งคืนวันของพระเจ้าให้แก่พระเจ้า ไม่ควรบอกว่า ไม่ว่าง มีธุระ ถ้าว่าง จะไปโบสถ์ แต่เราต้องแยกวันอาทิตย์ออกเพื่อพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงพอพระทัย และจะทรงอวยพระพร
มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ ขิบสัน เป็นเด็กกำพร้ามาก่อน วันหนึ่งเพื่อนของเขา ซึ่งเคยเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันและยังเป็นคนขอทานมาหาและถามว่า คุณเคยเป็นเด็กกำพร้าและคนขอทานอยู่ร่วมกับผมมิใช่หรือ ทำอย่างไรคุณได้เป็นเศรษฐี และผมยังเป็นคนขอทาน ไม่ยุติธรรมเลย ขิบสันบอกเพื่อนว่า ผมจะบอกคุณถึงเคล็ดลับที่จะเป็นเศรษฐี อย่าละเลยทั้ง 4 ข้อนี้ แต่ต้องรักษาตามนั้น 10 ปี ถ้าคุณรักษา 4 ข้อนี้ 10 ปีแล้ว แต่คุณยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ผมจะยกสมบัติของผมครึ่งหนึ่งให้แก่คุณ
1. ต้องวางใจในพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจังและรักษาวันของพระเป็นเจ้า
2. อย่าดื่มเหล้าแม้แต่นิดเดียว
3. ต้องถวายสิบลดแด่พระเจ้า
4. คุณจะทำอะไรก็ตาม ต้องกระทำทุกอย่างด้วยการขอบพระคุณ
เพื่อน คนขอทานนี้รู้สึกว่า มันง่ายมาก จึงตอบอย่างมั่นใจ และได้งานทำ แต่ไม่สนใจที่จะเก็บเงิน แต่สนใจว่า ถ้ารักษา 4 ข้อนี้ 10 ปี สมบัติของเพื่อนคนนี้เป็นของฉัน อีกไม่นาน เพื่อนคนขอทานได้รับการไว้ใจจากเจ้าของบริษัท และได้เป็นหัวหน้าดูแลโรงงาน และต่อไปเป็นประธานสาขาของบริษัท แล้วเป็นเศรษฐี
ให้เรารักษาวันของพระเป็นเจ้า คือ วันอาทิตย์ ถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์อย่างถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วพระองค์จะอวยพร