ยากอบ 4:13-17 สองสิ่งที่มนุษย์ควรรู้
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2005
มีพ่อค้าคนหนึ่ง เขาได้วางแผนว่า วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร โดยทั่วไปแล้ว ผู้เป็นพ่อค้าส่วนใหญ่มักจะวางแผนเช่นนี้ คงไม่มีใครว่าเขาว่า ผิดได้
แต่พระเจ้าตรัสอย่างไร ก็ดูเหมือนว่า อย่าเข้าใจผิด ทำไมพระองค์ทรงตรัสว่า แผนการของเขาชั่ว การวางแผนทุกอย่างชั่วหรือ เมื่อพระเยซูตรัสว่า อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้... หมายความว่าอย่างไร พระองค์ทรงไม่ให้เราวางแผนอะไรเลยหรือ
ก่อนที่โยชูวาออกไปสู้รบ โยชูวาวางแผนอย่างละเอียด เมื่อกษัตริย์ดาวิดจะสร้างพระวิหารของพระเจ้า ดาวิดได้วางแผนอย่างครบถ้วนและเตรียมอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆมากมายตามความจำเป็น แผนการของโยชูวาหรือ ดาวิดก็ชั่วนั่นหรือ ไม่ใช่ แผนการนั้นไม่เป็นสิ่งชั่ว พระเยซูเคยตรัสสอนเรื่องเกี่ยวกับการวางแผน ผู้ที่จะสร้างตึก ต้องนั่งลงคิดดูเสียก่อนว่า งบประมาณที่มีอยู่จะพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่ และเมื่อกษัตริย์จะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อื่น จะมิได้นั่งลงคิดดูเสียก่อนหรือว่า ที่ตนมีพลทหารหมื่นหนึ่ง จะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่... ดังนั้น การวางแผนนั้นไม่เป็นสิ่งชั่วเลย ตรงกันข้าม เราจำเป็นต้องวางแผนอย่างครบถ้วน เพื่อจะใช้เวลา เงินทอง และสิ่งอื่นๆที่เรามีอยู่อย่างถูกต้องในการรับใช้พระองค์ ถ้าไม่ได้วางแผนเช่นนี้ การดำเนินชีวิตของเราคงจะประสบความล้มเหลวได้
พ่อค้าผู้นี้ คงนั่งลงคิดดูอย่างครบถ้วน เขามีเงินที่จะลงทุน เขามีทักษะในการค้าขาย มีเวลาประมาณหนึ่งปี มีความรู้ว่า ทำการค้าขายที่ไหนได้กำไรมาก และมีความมั่นใจด้วยว่า ถ้าทำเช่นนี้ ได้กำไรมากแน่นอน เขาจึงประกาศแผนการของเขา แต่พระเจ้าตรัสว่า แผนการของเขาชั่ว ทำไม อะไรเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจผิดมาก เขาเข้าใจผิดสองอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่เขาน่าจะรู้
1. พ่อค้าผู้นี้เข้าใจผิดเรื่องอนาคต
ข้อ 14 กล่าวไว้ว่า แต่ว่า ท่านไม่รู้เรื่องพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นเช่นไดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฎอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป พ่อค้าบอกว่า จะไปเมืองนั้นและอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร โดยไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร
เราคาดหวังว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างนี้ อย่างโน้น แต่จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องพรุ่งนี้ อนาคตเป็นเวลาที่ยังมาไม่ถึงเรา ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราเป็นเหมือนหมอกที่ปรากฎอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป เราจำเป็นต้องรู้จักเจ้าของเวลา และเจ้าของประวัติ คือ พระเยซูคริสต์ พรุ่งนี้ หรืออนาคตเป็นเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่เวลาของเรา ชีวิตที่ไม่รู้จักเจ้าของเวลาเป็นชีวิตที่อนิจจัง
พระเยซูตรัสคำอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่เขลา ไร่นาของเขาเกิดผลมากจนไม่มีที่ที่จะเก็บผลได้ เขาจึงพูดกับจิตใจของตนว่า จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า แล้วพระเยซูสรุปไว้ว่า คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ
ทางเข้าตึกบริษัทหนังสือพิมพ์ ฮันทิงตั้นเพรส์ที่อเมริกา รูปปั้น 3 รูปได้ถูกตั้งไว้ รูปหนึ่ง มีคนอุ้มลูกโลกด้วยยิ้มอย่างอบอุน รูปที่สอง มีคนยืนอยู่บนลูกโลกด้วยท่าทีโอ้อวด และรูปที่สาม มีคนได้ถูกทับอยู่ใต้ลูกโลกด้วยหน้าเจ็บปวด ฝ่ายบริษัทหนังสือพิมพ์อธิบายดังต่อไปนี้ว่า ลูกโลกหมายถึงเวลาที่กำลังผ่านไปเรื่อยๆ รูปปั้นที่คนอุ้มลูกโลกแสดงถึงคนที่ประหยัดและรักเวลา รูปที่มีคนยืนอยู่บนลูกโลกด้วยโอ้อวดแสดงถึงการเยาะเย้ยคุณค่าของเวลา และรูปที่มีคนถูกทับอยู่ใต้ลูกโลกเป็นลักษณะของคนที่เพิกเฉยเวลาและตกในความล้มเหลวแล้วเป็นทุกข์...
2. พ่อค้าผู้นี้เข้าใจผิดเรื่องตัวเอง
เขาเชื่อว่า เขาทำได้ทุกอย่างโดยปราศจากความช่วยเหลือของพระเจ้า เข้าใจผิดว่า ถ้าเขาทำการค้าขายสักปีหนึ่ง คงได้กำไรมากมาย เข้าใจผิดว่า ถ้าเขาพยายามด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้นโดยปราศจากพระคุณของพระเจ้า ทุกอย่างจะเป็นไปตามใจของตน เข้าใจผิดว่า เขาอาศัยอยู่ด้วยตัวเองได้ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เขาจึงอวดตัว เขายกตัวเองให้สูงกว่าพระเจ้า ได้เพิกเฉยพระเจ้า แผนการของเขาไม่รวามถึงพระเจ้าเลย ไม่ต้องการพระเจ้า แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ท่านทั้งหลายโอ้อวดด้วยความทะนงตน การโอ้อวดเช่นนี้เป็นความชั่ว แท้ทีจริงแล้ว ชีวิตของเขาอ่อนแอมากเป็นเหมือนหมอก
เขาน่าจะพูดว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ในแต่ละวัน เรามีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า ถ้าไม่มีพระคุณของพระเจ้าแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าของเราทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ ถ้าพระเจ้าทรงให้หัวใจ หรือลมหายใจของเราหยุด เราจะกลับไปเป็นดินทันที พระเจ้าทรงสร้างสารพัดทุกสิ่งในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในท้องฟ้าและแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงประทานสิ่งเหล่านี้แก่เราฟรี น้ำก็ดี ลมก็ดี เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรา ผู้ที่กระทำให้เราเกิดในประเทศไทย ไม่ได้เกิดในประเทศอื่น ก็คือ พระเจ้า ผู้ที่กำหนดชีวิตของเรา ก็คือ พระเจ้า
ดังนั้น พระเจ้าถูกเพิกเฉย หรือถูกดูหมิ่นไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มนุษย์มักจะเข้าใจผิด หรือหลอกลวงตนเองโดยการพูดว่า เรามีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีพระเจ้า มักจะคิดว่า ถ้าพยายามมาก ทำดี ไม่ได้ทำสิ่งชั่วให้แก่คนอื่น ดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ คงจะพบความสุขแท้ได้โดยไม่มีพระเจ้า และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า นี่แหละเป็นความโง่ ก็เหมือนกิ่งไม้พยายามที่จะแยกตัวออกจากต้นและมีชีวิต เหมือนปลาที่พยายามที่จะอพยพจากน้ำและมีชีวิต นี่เป็นการโอ้อวดด้วยความทะนงตน และการโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นความชั่ว
ผู้คนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู ยังไม่รู้จักพระเจ้าอาจจะคิดอย่างนั้นได้ เข้าใจผิดเช่นนั้นได้ก็เพราะยังไม่รู้จักพระเจ้า ถ้าคริสเตียนคิดเช่นนี้ หรือดำเนินชีวิตเช่นนี้จะเป็นอย่างไร ในข้อ 17 กล่าวไว้ว่า เหตุฉะนั้น ผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป เราต้องรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างในโลก การค้าขาย การขยายธุระกิจ การเรียนหนังสือ การไปเทียว การซื้อของ การทำมาหากิน การกระทำทุกอย่างเกี่ยวข้องกับพระเจ้า การอยู่ การตาย ความสำเร็จ ความล้มเหลว สุขภาพ ความมั่งคั่ง หรือความยากจนก็อยู่ที่พระเจ้า พระเจ้าทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเรารู้เช่นนั้นแล้ว เราควรกระทำตามนั้น วางแผนและกระทำทุกอย่างโดยเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง