เทศนาเรื่อง ผู้ที่เราควรกลัว ![]() มัทธิว 10.26-31 เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก มีหลายอย่างที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลางคืน เมื่อเดินทางไปในกลางคืน รู้สึกผีตามมาด้วย จึงหยุดเดิน หันกลับดูข้างหลัง ก็ไม่มีอะไร เมื่อได้ยินเรื่องผี กลัวมากๆ ในสมัยก่อน การไปห้องน้ำในกลางคืนนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะห้องน้ำไม่ได้อยู่ในบ้านเหมือนปัจจุบัน ต้องออกจากห้องนอน ใส่ร้องเท้า ข้ามสนาม แล้วมีห้องน้ำ เด็กบางคนไม่กล้าที่จะไปห้องน้ำ ถ้าจำเป็นจริงๆ มักจะปลุกแม่ แล้วให้แม่ไปด้วย ในขณะที่นำธุระในห้องน้ำ ก็เรียกแม่เรื่อยๆ เพื่อมั่นใจว่าแม่ยังเฝ้าอยู่ ถ้าแม่ไม่ได้เฝ้าอยู่ ตกใจมากๆ คิดว่า เด็กทุกคนกลัวเช่นนั้น 1. ทำไมเราควรกลัวพระเจ้า 1) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้า ...จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้(28ข) นกกระจาบสองตัว เขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ (29) การมีชีวิต หรือการตายก็ อยู่ที่พระเจ้า ถ้าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะให้เรามีชีวิตนิรันดร์ เราก็มีชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ แต่พระองค์ทรงมีฤทธิ์ที่จะให้ทั้งกายและทั้งจิตวิญญาณพินาศในนรกได้ ความมั่งคั่งและความยากจนก็อยู่ที่พระเจ้า ความสำเร็จและความล้มเหลวก็อยู่กับพระองค์ โชคดีและโชคร้ายก็อยู่ที่พระองค์ ความสุขและความทุกข์ก็อยู่ที่พระองค์เช่นกัน พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้น เราควรเกรงกลัวพระเจ้า 2) เพราะพระองค์ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น(30) ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่ทราบ พระองค์ทรงทราบความคิดของเรา ซึ่งยังไม่ได้พูดกับใครแต่อยู่ในใจลึกๆของเรา พระองค์ทรงทราบอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราด้วย ครูคงรู้เรื่องเกี่ยวกับนักเรียนบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง พ่อแม่รู้จักลูกๆของตน แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง เราคงรู้เรื่องภายนอกของเพื่อนบ้าง แต่ไม่รู้จักภายในของเขา แต่พระเจ้าทรงทราบหมด ดังนั้นเราควรเกรงกลัวพระเจ้า 3) เพราะเราประเสริฐกว่าทุกสิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า เหตุฉะนั้น อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว (31) คนที่กลัวคนอื่น หรือ บางสิ่งบางอย่าง คงไม่กลัวพระเจ้า และคนที่กลัวพระเจ้าคงไม่กลัวคนอื่นหรือสิ่งอื่นใดเลย พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นคนพิเศษ ไม้เหมือนสารพัดทุกสิ่งในโลก พระองค์ทรงสร้างตามฉายา ตามอย่างของพระองค์ พูดอีกนัยหนึ่งว่า สร้างเราให้เป็นเหมือนพระองค์ ถึงแม้ว่า เราไม่เชื่อฟังพระองค์ และทำเป็นศัตรูของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงรักเรา ทรงไถ่บาปของเราโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และทรงประทับตราไว้ว่า เป็นของพระองค์ พระองค์ทรงถือว่า เราประเสริฐกว่าทุกสิ่ง ดังนั้นเราควรกลัวพระเจ้า 2. คนที่ยำเกรงพระเจ้าควรดำเนินชีวิตอย่างไร 1) พระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า บุคคลผู้ดูหมิ่นพระวจนะ นำการทำลายมาถึงตนเอง แต่บุคคลผู้นับถือพระบัญญัติจะได้รับบำเหน็จ (สภษ.13.13) ให้เกียรติพระวจนะของพระองค์ เมื่อเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย โลทไปหาบุตรเขยและประกาศพระวจนะ แต่บุตรเขยดูหมิ่นพระวจนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า แต่บุตรเขยของเขากลับหาว่าโลทล้อเล่น เขาจึงถูกทำลายไปด้วย 2 พงศาวดาร 36.16 กล่าวไว้ว่า แต่เขาทั้งหลายเยาะเย้ยทูตของพระองค์ และดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ ... จนพระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่อประชากรของพระองค์จนแก้ไม่ไหว เมื่อคนอิสราเอลดูถูกดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาได้ถูกขวาดไปเป็นเชลยที่บาบิโลนและทนทุกข์ทรมานมากทีเดียว 2) วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จริงๆแล้ว ทุกวันๆ เป็นของพระเจ้า แต่ในเจ็ดวัน มีวันหนึ่งที่พระองค์ทรงแยกไว้เป็นวันของพระองค์ คือวันสะบาโต นั่นคือวันอาทิตย์ อพยพ 20.8 -9 กล่าวว่า จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์... ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ... อิสยาห็ได้แนะนำอย่างละเอียดว่า ควรรักษาวันของพระเจ้าอย่างไร หยุดเหยียบย่ำ คือไม่ได้ทำตามใจของตน ไม่ได้ทำให้สนุกสนาน หรือเพลิดเพลิน แต่เรียกว่าวันปีติยินดี ให้เกียรติมัน ไม่พูดเรื่องไร้สาระ แล้วเราจะได้ความปีติยินดีในพระเจ้า.. (อสย.58.13-14) พระคัมภีร์บอกว่า ความสุขย่อมมีแก่ผู้กระทำเช่นนี้ .. ผู้รักษาวันสะบาโต ไม่เหยี่ยดหยามวันนั้นและระวังมือของเขาจากการกระทำชั่วร้ายใดๆ (อสย.56.2) 3) ทศางค์ หนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า ลวต. 27.30 กล่าวไว้ว่า ทศางค์ ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดิน เป็นพืชที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดี เป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์แก่พระเจ้า ฉะนั้น คนที่ไม่ให้เกียรติสิบลดเป็นคนที่ฉ้อพระเจ้า ไม่ใช่ขโมยของของมนุษย์ แต่ขโมยของของพระเจ้า 4) โบสถ์ วิหารและเครื่องใช้ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า เราจึงถือว่า เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เป็นสิ่งมีค่าสูงสุด ไม่ควรใช้อย่างไม่มีความระมัดระวัง เราควรรักษาไว้ดี เพราะพระเจ้าทรงมอบทุกสิ่งไว้แก่เราให้เราดูแลสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นของพระองค์ 5) ผู้รับใช้ในคริสตจักร ตามที่เรียกกันว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นผู้รับใช้ของมนุษย์คนหนึ่งคนใด มีอาจารย์ท่านหนึ่ง เมื่อจบการศึกษาโรงเรียพระคัมภีร์ แล้วไปรับใช้พระเจ้าที่ชนบท สมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวนา ชาวไร่ บางครั้งอาจารย์ไปช่วยทำนาทำสวน ต่อไป สมาชิกบางคนบอกว่า ทำไมอาจารย์ไม่ได้มาช่วย บางคนบอกว่า ไปช่วยคนอื่น แต่ทำไมไม่ได้มาช่วยฉัน คิดเหมือนคนงานของตน ไม่ควรถือผู้รับใช้ของพระเจ้าเช่นนั้น อาจารย์ไปช่วยทำงาน ก็ไปในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกจ้าง ถึงแม้ว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้ามีอายุน้อยกว่าตนเอง หรือขาดบางสิ่งบางอย่างก็ตาม ก็ยังเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ เราจึงควรถือว่า เป็นคนของพระเจ้า และให้เกียรติแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้า 6) งานรับใช้ในคริสตจักร งานของพระเจ้านั้น ถึงแม้ว่า เล็กน้อยในสายตาของเรา แต่เป็นงานใหญ่ เพราะเป็นงานของพระเจ้า ตำแหน่งที่ได้รับเป็นสิ่งมีค่า เพราะพระเจ้าทรงประทานให้ ดังนั้น เราควรถือว่า มีค่าและควรให้เกียรติมัน เราควรรับใช้พระเจ้าและทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยความเชื่อ พระคุณ ความถ่อมใจ และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ |